ทองคำทะยานไม่เลิก แห่ปรับเป้าหมายราคาสูงสุดใหม่

Gold soars

ราคาทองคำทะยานไม่หยุดเลยทีเดียว นับตั้งแต่ต้นปี 2568 มา ก็ทำสถิติสูงสุดใหม่ (All-time High) อย่างต่อเนื่อง กลายเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในเวลานี้

ไตรมาสแรกทองบวก 19%

โดย “นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ” ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ แม่ทองสุก จำกัด ระบุว่า ภาพรวมราคาทองคำตลาดโลกในไตรมาส 1 ปรับตัวขึ้นมาจากระดับ 2,625 เหรียญ มาอยู่ที่ระดับ 3,120 เหรียญ หรือขึ้นมาประมาณ 495 เหรียญ หรือประมาณ 18.86% ขณะที่ราคาทองไทยปรับตัวขึ้นจากระดับ 42,500 บาท ในวันที่ 2 ม.ค. มาอยู่ที่ระดับ 50,000 บาท หรือขึ้นมาประมาณบาทละ 7,500 บาท หรือขึ้นมาแล้วประมาณ 17.65%

“การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในไตรมาส 1 ของปี 2568 มาจากมาตรการการขึ้นภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ ทำให้เกิดความกังวลต่อสถาบันการเงินและกองทุนในระดับโลกว่าจะเกิดสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงจากภาวะสงครามการค้าที่เกิดขึ้น และกำลังจะขยายวงกว้างไปยังประเทศต่าง ๆ โดยเริ่มจากแคนาดา เม็กซิโก และจีน โดยทางประธานาธิบดีทรัมป์ยืนยันจะใช้ภาษีตอบโต้กับทุกประเทศในวันที่ 2 เม.ย. 2568 ส่งผลให้ระบบการเงินเกิดความตึงเครียดขึ้น ประเด็นดังกล่าวจึงทำให้เกิดแรงเข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยตั้งแต่เดือน ม.ค.ถึงสิ้นเดือน มี.ค.”

ราคาแพงขึ้นเร็วกว่าคาดมาก

สำหรับไตรมาสที่ 2 และต่อไปของปี 2568 “นพ.กฤชรัตน์” วิเคราะห์ว่า ราคาทองคำน่าจะยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นได้อีก โดยล่าสุดธนาคารเจพีมอร์แกนและแบงก์ออฟอเมริกา ต่างวิเคราะห์ว่ามีโอกาสที่จะเห็นราคาทองคำไปที่ 3,200-3,500 เหรียญในปีนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าทุกตัวเลขของการวิเคราะห์มีการปรับมุมมองเพิ่มขึ้นตลอดเวลา

“ราคาทองคำในปีนี้เดิมคาดว่าจะเห็น 3,000 เหรียญ กลับมาเร็วกว่าที่คาดการณ์ 6-7 เดือน”

YLG ปรับเป้าใหม่ 3,200 เหรียญ

“พวรรณ์ นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (YLG) ระบุว่า ปัจจัยหนุนทองให้ราคาเป็นขาขึ้นอย่างแข็งแกร่ง มาจากความเป็น Safe Haven โดยเฉพาะความกังวล Trade War ทั่วโลก จากนโยบายภาษีตอบโต้ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ในวันที่ 2 เม.ย. พร้อมด้วยปัจจัยหนุนสำคัญยังอยู่ครบ ทั้งธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำต่อเนื่อง, ความไม่สงบในตะวันออกกลางยังน่าเป็นห่วง และกองทุน SPDR เดินหน้าตุนทองคำ

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ ราคาทองคำปรับขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจนทะลุเป้าหมายที่วายแอลจีให้ไว้ที่ 3,000-3,100 ดอลลาร์ ล่าสุด YLG ได้ปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 3,150-3,200 ดอลลาร์ หรือคิดเป็นราคาเป้าหมายทองคำแท่งไทยที่ 51,000-51,500 บาทต่อบาททองคำ (คำนวณจากค่าเงินบาท 34 บาทต่อดอลลาร์)

“นักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะสั้น ควรรอให้ราคาย่อลงที่แนวรับ 3,074-3,055 ดอลลาร์ แต่หากหลุดบริเวณดังกล่าว แนะนำให้ระมัดระวังการพักฐานลงในระยะกลาง ส่วนทองไทยแนะนำเข้าซื้อได้ที่ 49,400-49,000 บาท

ADVERTISMENT

“โกลด์แมนแซคส์” มอง $4,200

ขณะที่ “ศิริลักษณ์ ปโกฏิประภา” ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัท ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ฮั่วเซ่งเฮงได้ปรับเป้าหมายราคาทองคำปีนี้ล่าสุด โดยประเมินว่าทองไทยอาจจะแตะ 54,000 บาท หากเงินบาทอยู่ที่ระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทอยู่ที่ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ทองไทยจะอยู่ที่ 53,250 บาท และหากเงินบาทอยู่ที่ 33 บาท ทองไทยจะอยู่ที่ 52,500 บาท ขณะที่ราคาทอง Spot เป้าหมายปรับขึ้นมาที่ 3,360 ดอลลาร์

นอกจากนี้ ทางฮั่วเซ่งเฮงระบุว่า “โกลด์แมน แซคส์” ได้ปรับเพิ่มเป้าหมายราคาทอง โดยคาดราคาทองคำอาจทะลุ 4,200 ดอลลาร์ สิ้นปีนี้ และทะลุ 4,500 ดอลลาร์ สิ้นปีหน้า

จับตาเอฟเฟ็กต์ภาษี “ทรัมป์”

ฟาก “อารีรัตน์ มุราชัย” นักวิเคราะห์ บริษัท จีแคป จำกัด หรือ GCAP GOLD กล่าวว่า ทิศทางทองคำต้องจับตาหลังประกาศภาษีใหม่จากทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคาทองคำ

ทั้งนี้ หากมีการประกาศภาษีที่รุนแรง ราคาทองคำอาจพุ่งสูงขึ้น นักลงทุนอาจหันมาถือทองคำมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด