
นักวิเคราะห์ ชี้ตลาดเข้าสู่โหมด Risk-off เงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย คาดหุ้นไทยวันนี้รับแรงกระแทก “ภาษีทรัมป์” หนัก เผชิญแรงขายลดความเสี่ยง จากการตอบโต้ประเทศคู่ค้า กระทบบรรยากาศลงทุนตลาดหุ้นทั่วโลก หวั่นกดดันหุ้นไทยมีโอกาสทำนิวโลว์
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด (InnovestX) รายงานคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (3 เม.ย. 2568) ว่า คาดดัชนี SET เตรียมรับแรงกระแทก ปรับลงจากเซนติเมนต์ลบ หลังประธานาธิบดีสหรัฐ “โดนัลด์ ทรัมป์” ประกาศภาษีศุลกากรรุนแรงกว่าที่คาดสร้างความกังวลกระทบต่อเศรษฐกิจและมูลค่าการค้าโลก หลังจากนี้ต้องจับตาปฏิกิริยาของประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีว่าจะตามมาด้วยการเจรจาหรือการตอบโต้ ทำให้เป็น Overhang ต่อไป ประเมินแนวรับที่ 1,155 – 1,145 จุด ส่วนแนวต้านอยู่ที่ 1,165 – 1,170 จุด
โดยประเด็นสำคัญทั้งหมดคือ 1. ทรัมป์ลงนามประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้ต่อประมาณ 60 ประเทศคู่ค้า ในอัตราที่ต่างกันออกไป เช่น จีน 34% อียู 20% ญี่ปุ่น 24% เวียดนาม 46% และไทย 36% มีผลวันที่ 9 เม.ย. 2568 และมาตรการภาษีแบบครอบจักรวาล (Universal Tariff) ต่อประเทศที่ไม่อยู่ในกลุ่มข้างต้นในอัตราพื้นฐาน 10% มีผลวันที่ 5 เม.ย. 2568
2. Bloomberg รายงานว่าก่อนการประกาศมาตรการภาษีของสหรัฐฯ จีนได้สั่งบริษัทจีนจำกัดการลงทุนเพิ่มเติมในสหรัฐ ทั้งนี้ข้อจำกัดไม่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนที่มีอยู่ เช่น การถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ
3. รัฐบาลตั้งคณะทำงานนโยบายการค้าสหรัฐ นำโดยปลัดพาณิชย์ เพื่อรับมือสงครามการค้า เช่น เพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐ 4 กลุ่มหลัก พืชอาหารสัตว์, อาหารทะเล, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และพลังงาน เบื้องต้น ประเมินการเก็บภาษีนำเข้าจะกระทบไทยราว 2.3-2.7 แสนล้านบาท
4. ธอส. เผยกรณีแผ่นดินไหวมองเป็นผลกระทบทางจิตวิทยา ประเมินจะกลับมาเป็นปกติภายใน 3 เดือน หลังพบสถานการณ์การโอนที่อยู่อาศัยเริ่มกลับมาเป็นปกติ ยอดโอนเฉลี่ยใกล้เคียงปกติที่ 400 ราย/วัน
5. สมาคมโรงแรมไทยเผยการสำรวจสถานการณ์โรงแรมหลังเหตุแผ่นดินไหวในวันที่ 30 มี.ค. 2568 พบการยกเลิกห้องพัก 897 ห้อง ใน 85 โรงแรม ทำให้อัตราการเข้าพักลดลงสู่ 63.2% จาก 65.9%
6. EIA รายงานสต็อกนน้ำมันดิบสหรัฐในสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้น 6.2 ล้านบาร์เรล ผิดจากที่ตลาดคาดว่าจะลดลง เช่นเดียวกับสต็อกดีเซลที่เพิ่มขึ้น 0.3 ล้านบาร์เรล ส่วนสต็อกเบนซินลดลง 1.6 ล้านบาร์เรล
7. ในวันนี้ GULF จะกลับมาซื้อขายในตลาดหลังเสร็จสิ้นการควบรวมกับ INTUCH ด้านทริสเรทติ้งได้ปรับการเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรจาก A+ สู่ AA-
“กลยุทธ์ลงทุนช่วงสั้น มองดัชนี SET แกว่งตัวผันผวน อาจมีแรงขายลดความเสี่ยงจากความกังวลผลกระทบจากแผ่นดินไหวและสงครามการค้าที่ทรัมป์เดินหน้าขึ้นภาษีต่อเนื่อง และคาดจะมีการตอบโต้จากประเทศคู่ค้าคาดจะกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก และกดดันทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสทำนิวโลว์
อย่างไรดีหากดัชนี SET ปรับตัวลงไปในช่วง 1,100-1,130 จุด จะเป็นโอกาสลงทุน เนื่องจากมีดาวน์ไซด์จำกัด ขณะที่พิจารณาเศรษฐกิจของจีนยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มชะลอตัวลงทั้งภาคการผลิตและบริการจากความไม่ชัดเจนของนโยบายภาษี แต่มองจะไม่แย่อย่างที่ตลาดกังวล ด้านเงินเฟ้อไทยเดือน มี.ค. 2568 น่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มากนัก ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้เลือกซื้อ แนะนำ BCH, DIF
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดดัชนี SET ปรับตัวลงให้กรอบการเคลื่อนไหวบริเวณแนวรับ 1,155/1,130 จุด และแนวต้าน 1,177/1,185 จุด โดยตลาดอยู่ในภาวะ Risk-off เงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย ทองคำ +0.67% ทำ All time high พันธบัตรพบว่าบอนด์ยีลด์สหรัฐอายุ 10 ปีดิ่ง -13 bps สู่ 4.06% ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกสูงขึ้น หลังการใช้มาตรการภาษีเท่าเทียมสหรัฐเลวร้ายกว่าคาด
โดยทรัมป์ใช้กรอบภาษีตอบโต้ระดับสูง 15 ประเทศหลัก ที่เป็นเป้าหลักโดนเก็บ 10-49% (เฉลี่ยอยู่ที่ 30.4%) ไทยอยู่ในกลุ่มที่โดนเก็บโซนสูง 36% เป็นรองเฉพาะจีน 54% (ภาษีเดิมที่โดนเก็บเดิม+ภาษีเท่าเทียม) กัมพูชา 49% เวียดนาม 46% และบังกลาเทศ 37% กระทบไทยที่ส่งออกคิดเป็น 55% ของ GDP ขณะที่ส่งออกไปสหรัฐราว 16% ของส่งออกรวม เป็นลบหุ้นอิงความต้องการภายนอก อาทิ กลุ่มเกษตร อาหาร ชิ้นส่วน และยานยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้ส่งออกไปสหรัฐ อาทิ ITC, AAI, PLUS, TU, ASIAN และน่าจะกดดันดัชนี SET วันนี้
และความเสี่ยงตลาดหุ้นสหรัฐและเศรษฐกิจ จะสูงขึ้นอย่างมีนัย อิง 15 ประเทศที่สหรัฐปรับเพิ่มภาษีเท่าเทียมมากสุด สหรัฐมียอดนำเข้าสินค้ามากถึง 75% ของนำเข้ารวม คาดมีโอกาสจะเห็นการเจรจาต่อรองระยะถัดไป
สำหรับกลยุทธ์ลงทุน ตลาดอยู่ในช่วงหาฐานปรับฐาน -1.5-3% เน้น Domestic ค้าปลีก โรงพยาบาล สื่อสาร และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงในประเทศ วันนี้แนะนำ BDMS