ภาษีทรัมป์-ราคาน้ำมันร่วงแรง ทุบหุ้นไทยดิ่งหนัก ต่ำสุดในรอบ 5 ปี

ภาษีทรัมป์-ราคาน้ำมันร่วงแรง ทุบหุ้นไทยดิ่งหนัก ต่ำสุดในรอบ 5 ปี บล.กรุงศรี ชี้สร้างความกังวลเศรษฐกิจ-การค้าโลก ตลาดทุน Overhang ทั่วโลกจับตาสุนทรพจน์ “ประธานเฟด” จับสัญญาณเศรษฐกิจสหรัฐ-ดอกเบี้ย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) วานนี้ (3 เม.ย.) จากประเทศทั่วโลก โดยเรียกเก็บภาษีจากไทยในอัตรา 37% ซึ่งเป็นตัวเลขที่ออกมาค่อนข้างน่าตกใจและสูงกว่าที่คาด จนนักเศรษฐศาสตร์มองกันว่าถือเป็น “ระเบิด” ที่แรงกว่าที่คิด

ซึ่งปัจจัยนี้ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย (SET Index) วานนี้ (3 เม.ย.) ติดลบ 10.88 จุด หรือ -0.93% ลงมาอยู่ที่บริเวณ 1,161.81 จุด ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้ปรับตัวลงแรงเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น โดยเฉพาะตลาดหุ้นเวียดนาม

แต่วันนี้ (4 เม.ย.) พบว่าดัชนี SET เปิดแกว่งตัวในแดนลบตลอดทาง และปรับตัวร่วงหนัก 34.41 จุด โดยทำจุดต่ำสุดของวัน (LOW) ที่บริเวณ 1,127.40 จุด และจากการตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังผ่าน SETSMART พบว่าดัชนี SET อยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี โดยในช่วงวิกฤตโควิดปี 2563 ดัชนี SET เคยลงไปต่ำสุดที่บริเวณ 1,024.46 จุด (เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2563)

บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) กรุงศรี จำกัด (มหาชน) วิเคราะห์การประกาศภาษีศุลกากรรุนแรงกว่าที่คาด ได้สร้างความกังวลกระทบต่อเศรษฐกิจและมูลค่าการค้าโลก เพราะฉะนั้นต้องจับตาปฏิกิริยาของประเทศที่ถูกเรียกเก็บภาษีว่าจะตามมาด้วยการเจรจาหรือการตอบโต้ ทำให้ตลาดทุนยังเป็น Overhang ต่อไป

ADVERTISMENT

ขณะเดียวกัน วันนี้ดัชนี SET โดนซ้ำเติมกดดันจากราคาน้ำมันดิบปรับลดลงเฉลี่ย -6.5% เป็นลบต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน โดยภาคเช้าวันนี้หุ้นที่กดดันดัชนีคือ กลุ่มพลังงาน (GULF, PTTEP, PTT) กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA) กลุ่มธนาคาร (KBANK) และกลุ่มไอซีที (ADVANC, TRUE)

สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยภาคบ่าย คาดแกว่งในกรอบ 1,130-1140 จุด ปัจจัยต่างประเทศมีน้ำหนักต่อการลงทุน คาดตลาดอยู่ในโหมด Wait & See รอจับสัญญาณทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐ และโอกาสการลดอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ และติดตามตัวเลข Nonfarm Payrolls และอัตราว่างงานคืนนี้ รวมทั้งติดตามสุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED)

ADVERTISMENT

ส่วนปัจจัยภายในประเทศมีสัญญาณบวกจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย มีโอกาสปรับลงเร็วกว่าคาด มองหุ้นแนะนำเน้นกลุ่ม Domestic, ค้าปลีก, โรงพยาบาล, สื่อสาร และกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง โดยมีหุ้น Top pick คือ CPALL, BJC, BDMS

ด้าน บล.เอเซีย พลัส รายงานว่า ต้องจับตา เจอโรม พาวเวลล์ ที่จะแถลงแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐในการประชุมประจำปี Society for Advancing Business Editing and Writing (SABEW) โดยเฉพาะทิศทางดอกเบี้ยล่าสุด FED Watch Tool ให้น้ำหนัก FED ลดดอกเบี้ยเดือน มิ.ย. 58% (ตามเวลาประเทศไทยวันนี้ 22.25 น.)

ด้านเงินเฟ้อไทยเดือน มี.ค.ออกมาต่ำกว่าคาด สร้างโอกาสแบงก์ชาติลดดอกเบี้ย โดย CPI ออกมาที่ 0.84% YOY ต่ำกว่าคาดที่ 1% และน้อยกว่าเดือน ก.พ. ที่ 1.08% กระทรวงพาณิชย์คาด CPI เฉลี่ย 3 เดือนแรกโต 1.08% ขณะที่ Core CPI เดือน มี.ค. ชะลอแตะ 0.86% YOY ต่ำกว่าคาดที่ 1% และเดือน ก.พ. ที่ 0.99% เฉลี่ย 3 เดือนแรกโต 0.89%

โดยกระทรวงพาณิชย์เตรียมปรับลดเป้าหมายเงินเฟ้อในปีนี้ลงจากรอบเดิม 0.3-1.3% แต่ยังชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะไม่เข้าสู่ภาวะเงินฝืด ด้าน รมว.คลังคาดผลกระทบจากไทยถูกเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน 37% จะทำให้ GDP มีโอกาสลดลงอย่างน้อย 1%

คลังเล็งใช้ LTV และต่ออายุการโอน-จำนอง บ้านราคาไม่เกิน 7 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา รวมทั้งที่ได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหว ราคาหุ้นปรับลงมารับเหตุการณ์ดังกล่าวไปแล้วทั้ง SIRI, LH, AP, SC รอจังหวะ SET Index นิ่งไม่ต่ำกว่า 1,060-1,100 จุด

และภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2568 ผู้ถือ LTF ที่มีความประสงค์จะใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีต้องสับเปลี่ยนหน่วยลงทุน LTF ไป Thai ESGX ให้ครบทุกกองทุน ทุก บลจ. SET INDEX มีรอบวัดการตั้งฐาน 4-8 เม.ย. 2568 หลังดัชนีหลุดแนวรับรายปี 1,140 จุด จะมีแนวรับย่อย 1,120 จุด และหากกลับมาที่ 1,140 จุดไม่ได้จะอันตรายเพิ่มขึ้น