BKA เคาะราคา IPO 1.80 บาท/หุ้น เปิดจองซื้อ 8-10 เม.ย. เข้าเทรด mai ดีเดย์ 22 เม.ย.นี้

BKA ผู้ประกอบธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ เคาะราคาเสนอขาย IPO ที่ 1.80 บาทต่อหุ้น กำหนดเปิดจองซื้อระหว่าง 8-10 เม.ย.นี้ เทรด mai ดีเดย์ 22 เม.ย. 2568

รายงานจากบริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA ผู้ประกอบธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ แจ้งว่าบริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้

ล่าสุด บริษัทแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน พร้อมทั้งผู้จัดจำหน่ายอีก 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ จำกัด เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้

นางสาวออมสิน ศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของ บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป (BKA) เปิดเผยว่า บริษัทได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ของ BKA จำนวน 60 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1.80 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio : P/E) ที่ 10 เท่า

คำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัท ในปี 2567 และจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วของบริษัทภายหลัง IPO (Fully Diluted) การกำหนดราคา IPO ดังกล่าว มีส่วนลดให้นักลงทุนในระดับที่เหมาะสม สอดคล้องกับสภาวะของตลาดหุ้นในปัจจุบัน และปัจจัยพื้นฐานของบริษัทที่มีความแข็งแกร่ง สามารถทำกำไรที่เติบโตเพิ่มขึ้น

โดยจะเปิดจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 8-10 เมษายน 2568 และเตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 22 เมษายน 2568 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “BKA” ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

ADVERTISMENT

“ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน เชื่อว่าหุ้น BKA จะได้การตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากธุรกิจบ้านมือสองยังมีดีมานด์การเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับ BKA เป็นผู้นำธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ โดยดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านแต่ง” หรือ “Flipping”)

รวมถึงธุรกิจนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (“ธุรกิจบ้านฝาก”) และธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (“ธุรกิจบ้านตัด”) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ให้บริการซื้อขายบ้านมือสองที่ครอบคลุมทุกมิติ และด้วยความเชี่ยวชาญของผู้บริหาร รวมถึงประสบการณ์ในธุรกิจกว่า 12 ปี ทำให้ BKA เป็นที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง ซึ่งมั่นใจว่า BKA จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่น่าสนใจอีกตัวหนึ่งที่จะสร้างโอกาสการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต”

ADVERTISMENT

นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญในการต่อยอดธุรกิจ เพราะนอกจากสร้างมูลค่าเพิ่มทางธุรกิจแล้ว ยังสร้างอัตราการเติบโตในอนาคตให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

สำหรับเม็ดเงินที่ BKA จะได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทจะนำไปขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้น รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้บริษัทสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลายเพิ่มมากขึ้น จากการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ

จากความโดดเด่นในฐานะผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง “Flipping”) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงก่อนขาย เพื่อให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย ธุรกิจนายหน้าซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) และธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) สามารถตอบโจทย์ความเป็น “บางกอก แอสเซท ที่หนึ่งเรื่องบ้านมือสอง” ได้อย่างครบทุกมิติ บนพื้นฐานความได้เปรียบกว่าบ้านมือหนึ่งบนทำเลเดียวกัน ราคาที่คุ้มค่ากว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า ซึ่งปัจจัยดังกล่าวผลักดันให้ BKA เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

ทั้งนี้เพื่อแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและตั้งใจของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ก่อตั้งบริษัท กลุ่มครอบครัวธนวงศ์เกษม และนายภัคพล เพ็ชร์แย้ม ที่ถือหุ้นรวมกัน 87% ของทุนชำระแล้วก่อน IPO หรือคิดเป็น 62.14% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO นอกจากจะนำหุ้นติด Silent Period ตามหลักเกณฑ์ที่ตลาดหลักทรัพย์กำหนดห้ามขายหุ้นในสัดส่วน 55% ของทุนชำระแล้วหลัง IPO เป็นระยะเวลา 1 ปีแล้ว หุ้นที่เหลือส่วนที่ไม่ติด Silent Period ตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 15 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 7.14% ของทุนชำระแล้ว

หลัง IPO จะถูกห้ามขายโดยสมัครใจ (Voluntary IPO Lock up) เป็นระยะเวลา 3 เดือน นับตั้งแต่วันที่เริ่มซื้อขายหุ้นของบริษัท ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ส่งผลให้มีหุ้นเดิมที่ถือโดยกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ที่พร้อมใจกันงดการเสนอขาย หรือโอนด้วยวิธีการใด ๆ นับแต่วันที่หุ้นเริ่มซื้อขาย (Lock up) ทั้งหมด 87% เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน

ด้านนางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวเสริมถึงความน่าสนใจของ BKA ว่า ด้วยศักยภาพการเป็นผู้นำธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ที่มีความได้เปรียบทั้งด้านทำเล ราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้หาซื้อบ้าน

ขณะที่ Model ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) เป็นการวางเงินประกัน ปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลัง ทำให้ประหยัดเงินลงทุน ซึ่งให้ผลตอบแทนสูง นอกจากนี้มองว่า ตลาดบ้านมือสองยังมีศักยภาพการเติบโต โดยเห็นได้จาก สถาบันการเงินและ AMC มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ที่ค้างอยู่ในระบบจำนวนมาก ซึ่งเป็นสินค้าบ้านมือสองทำเลดี ราคาคุ้มค่าต่อการลงทุน

และที่สำคัญ BKA ผู้ให้บริการซื้อขายบ้านมือสอง ที่มีจำนวนบ้านมือสองตกแต่งใหม่พร้อมขายจำนวนมาก โดยให้บริการปรับปรุงและขายบ้านมือสอง ซึ่งมีรายได้กระจายไปในบ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัด หลายโครงการในทำเลที่ดี โดยไม่ได้ Focus ไปที่โครงการใดโครงการหนึ่ง

และด้วยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจของผู้บริหารมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี ยิ่งตอกย้ำศักยภาพความน่าเชื่อถือในการสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัท ดังนั้นจากปัจจัยดังกล่าว สะท้อนให้เห็นถึงผลการดำเนินงานการเติบโตในธุรกิจของบริษัท โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2565-2567 บริษัทมีรายได้รวม จำนวน 1,302.92 ล้านบาท, 1,313.59 ล้านบาท และ 1,142.46 ล้านบาท ตามลำดับ และมีกำไรสุทธิ ในปี 2565-2567 จำนวน 21.44 ล้านบาท, 22.27 ล้านบาท และ 36.82 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 1.65, ร้อยละ 1.70 และร้อยละ 3.22 ตามลำดับ