ภาษีทรัมป์เขย่าโลก… เลือกหุ้น Domestic Play ผลกระทบจำกัด

Trump's taxes shake the world

เข้าสู่เดือนเมษายน ประเด็นร้อนที่ทั่วโลกจับตาได้เผยโฉมให้เห็นแล้ว คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากร ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าหลายฝ่ายรวมถึงที่เราคาดการณ์

โดยภาษีแบ่งเป็น 2 ขั้น คือ (1) ภาษี Broadbase ทั่วโลกแบบครอบจักรวาล (Universal Tariffs) ที่อัตราเดียวกันที่ 10% มีผลตั้งแต่ 5 เม.ย. และ (2) ภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) แบบรายประเทศแล้วแต่ที่ประกาศ มีผลตั้งแต่ 9 เม.ย. (ประเทศที่ถูกเก็บภาษีรายประเทศ จะไม่ถูกเก็บภาษี Broadbase อีก) ซึ่งมีประเทศคู่ค้าประมาณ 60 ประเทศที่เผชิญกับมาตรการภาษีนี้ ขณะที่ไทยโดนเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงถึง 36%

จากการประเมิน Sensitivity Analysis เบื้องต้นต่อผลกระทบเศรษฐกิจไทย พบว่า มีความเสี่ยงที่ GDP จะหดตัวลง 3.6% ผลจากการขึ้นภาษีครั้งนี้ หากไม่มีการเจรจาต่อรองและการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เศรษฐกิจของไทยในปีนี้ จะหดตัว -1.1% จากกรณีฐานของเราที่ 2.5%

ในส่วนของผลกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าใหม่ของสหรัฐต่อตลาดหุ้นไทย เรามองว่ามีโอกาสที่จะกระทบทางตรงต่อสินค้าสำคัญของไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐ ดังนี้

ยานยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ – มองเป็นลบต่อกลุ่มยานยนต์ โดยประเทศไทยส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐ คิดเป็น 9% ของการส่งออกรถยนต์ และคิดเป็น 6% ของการผลิตรถยนต์

เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ – มองเป็นลบต่อกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์

ADVERTISMENT

ยางและผลิตภัณฑ์ยาง – มองเป็นลบต่อกลุ่มยางและถุงมือยาง

สินค้าเกษตร ได้แก่ ข้าว อาหารสุนัขและแมว ทูน่าและผลิตภัณฑ์ทูน่า กุ้งและผลิตภัณฑ์กุ้ง มะพร้าวและผลิตภัณฑ์มะพร้าว สับปะรดกระป๋อง

ADVERTISMENT

อัญมณีและเครื่องประดับ – มองเป็นลบต่อผู้ส่งออกเครื่องประดับ

ขณะที่มองส่งผลกระทบทางอ้อมต่อการลงทุนและเศรษฐกิจไทย อาจส่งผลให้เกิดการชะลอการลงทุนและการชะลอการขอสินเชื่อเพื่อส่งออก และเกิด Sentiment ลบต่อบรรยากาศการลงทุน ดังนี้

นิคมอุตสาหกรรม – มองนโยบายครั้งนี้อาจส่งผลกระทบให้ลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อที่ดิน ในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดอาจส่งผลกระทบต่อ Backlog บางส่วน

ธนาคาร – ส่งผลกระทบทางอ้อมในแง่อัตราการเติบโตของสินเชื่อและคุณภาพสินทรัพย์เล็กน้อย

ขณะที่บ้านเรานั้น สิ่งที่ต้องติดตามหลังจากนี้ คือ ทางการไทยจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านเศรษฐกิจ รวมถึงมีมาตรการมาช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจหรือไม่อย่างไร โดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ที่จะต้องเร่งเจรจา ส่วนกระทรวงการคลังอาจต้องมีมาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออก และธนาคารแห่งประเทศไทย อาจจะต้องลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าไทยจะมีการเจรจากับสหรัฐ หากเป็นไปในทิศทางที่ดีก็มีโอกาสที่อัตราภาษีในอนาคตอาจจะต่ำกว่าที่ประกาศออกมาขณะนี้

ทั้งนี้ เรามองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจถูกกดดันจากแรงขายลดความเสี่ยงจากการเรียกเก็บภาษีตอบโต้ที่ประกาศออกมารุนแรงกว่าคาด อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางตรงต่อกลุ่มส่งออกไปยังสหรัฐ มีสัดส่วนไม่มากใน SET Index

ดังนั้น หาก SET Index ปรับลงมาบริเวณ 1,130 จุด หรืออาจลงถึง 1,100 จุด ถือว่ามี Risk/Reward ที่คุ้มค่า โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีรายได้ภายในประเทศ คาดจะได้รับผลกระทบจำกัด ได้แก่ กลุ่ม ICT, ค้าปลีก และการแพทย์ (ที่เน้นผู้ป่วยไทย) โดยหุ้นน่าสนใจใน Theme Domestic Play กรณีสงครามการค้ารุนแรง ได้แก่ CPALL, ADVANC, TRUE, BTG และ BCH