
หุ้นไทยเปิดเช้านี้ดิ่งหนัก 60 จุด เซ่นพิษสงครามการค้า “สหรัฐ-จีน” เดือด
ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวของดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) เปิดภาคเช้าวันนี้ (8 เม.ย. 2568) ปรับตัวดิ่งลงหนัก ทำจุดต่ำสุดที่บริเวณ 1,063.56 จุด หรือปรับตัวลดลง 61.65 จุด แรงกดดันหลักเป็นไปตามภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกที่ช่วงนี้ผันผวนหนักจากความกังวลสงครามการค้า (Trade War 2.0)
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด รายงานว่า ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับความผันผวนจาก Trade War 2.0 ต่อ เพราะยังลงน้อยกว่าตลาดหุ้นโลกที่เพียง 3 วัน หลายประเทศปรับตัวลดลงเกิน -10% อีกทั้งนักลงทุนกังวลเงินเฟ้อจะกลับมา กดดันบอนด์ยีลด์สหรัฐเร่งขึ้น อาจกดดันบาทอ่อน และเงินทุนต่างชาติ (Fund Flow) ไหลออกได้
อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็เข้ามาช่วยตลาดหุ้นได้ทันเวลาพอดี โดยการออกมาตรการพิเศษลดความผันผวน จากการปรับ 3 เกณฑ์ชั่วคราวคือ ลด CEILING & FLOOR เหลือ +-15%, ลด DPB +-5% และห้าม SHORT SELL มีผล 8-11 เม.ย. 2568 คาดหวังจะช่วยพยุงตลาดได้ดี เฉกเช่นช่วงเกิด COVID19 (13 มี.ค. 2563) ที่ช่วงเช้าหุ้นตก -13% ทำจุดต่ำสุดที่ 969 จุด แล้วช่วงบ่ายมีมาตรการ ตลาดหุ้นฟื้นขึ้นเป็น 1,128 จุด หรือพลิกจากลบมาก ๆ กลายเป็นบวกได้ทันทีที่ +1.26%
วานนี้ (7 เม.ย. 2568) สินทรัพย์ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงลงแรง เฉพาะอย่างยิ่งในแถบเอเชีย นำโดยฮ่องกง -13.2%, จีน -7.3%, ญี่ปุ่น -7.8%, เกาหลีใต้ -5.6% เป็นต้น ขณะที่ในฝั่งหสหรัฐ เมื่อคืนนี้ผันผวนหนัก หลังมีกระแสข่าวว่าสหรัฐจะเลื่อนเก็บภาษีตอบโต้ออกไป 90 วัน ก่อนที่ทำเนียบขาวออกมาปฏิเสธ สะท้อนมุมมองตลาดที่ให้น้ำหนักต่อความกังวลผลกระทบ Trade War จะกดดันเศรษฐกิจทั่วโลกในระยะข้างหน้า
หากพิจารณาโครงสร้างปริมาณการค้าโลกในปี 2566 มีมูลค่าราว 46.9 ล้านล้านเหรียญ โดยประเทศที่มีการทำสงครามการค้าระหว่างกัน คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 อาทิ สหรัฐ, จีน, ยุโรป, ญี่ปุ่น, ไทย ฯลฯ ทำให้ศรษฐกิจทั่วโลก หลีกเลี่ยงผลกระทบที่ตามมาได้ค่อนข้างยากเพิ่มความเสี่ยงต่อ Downside GDP Growth
ขณะที่สถานการณ์ล่าสุด หลังจากที่ทรัมป์ประกาศขึ้นภาษีตอบโต้ไปเมื่อวันที่ 2 เม.ย. 2568 ทำให้หลายประเทศเข้าเจรจากับสหรัฐ (ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่สหรัฐนำเข้าสินค้าไม่สูงมาก) อาทิ
- ญี่ปุ่น : เตรียมเยือนสหรัฐหวังหารือประเด็นภาษีนำเข้า
- ไทย : รัฐบาลได้สรุปข้อเสนอเชิงนโยบายต่าง ๆ เช่น การเพิ่มการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐในด้านพลังงาน อากาศยาน และสินค้าเกษตร ขณะที่นายกฯนัดประชุมรับมือเส้นตายภาษีทรัมป์ 8 เม.ย. 2568
- เวียดนาม : เสนอลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐเหลือ 0%
- กัมพูชา : เสนอลดภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐสูงสุด 19 ประเภท จาก 35% เป็น 5%
อย่างไรก็ตาม ประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ อย่างจีนและยุโรปยังดูมีท่าทีค่อนข้างแข็งกร้าวกับสหรัฐ
- จีน : โต้กลับสหรัฐ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า 34% พร้อมกับกีดกันสหรัฐผ่าน NON-TARIFF จนดีล TIKTOK ล่ม ขณะที่การตอบโต้กลับของสหัรฐล่าสุดขู่ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนอีก 50% หากจีนไม่ยกเลิกภาษีตอบโต้เก็บ 34% (รวมเป็น 104%) ภายในวันที่ 8 เม.ย. 2568 (ให้เวลา 1 วัน) พร้อมยืนยันจะยกเลิกการเจรจาที่วางแผนไว้ทั้งหมด หากไม่ปฏิบัติตามข้อเรียกร้องนี้และหันเปิดดีลกับชาติอื่นแทน
- ยุโรป : ตอบโต้สินค้านำเข้าจากสหรัฐในอัตรา 25% (ตอบโต้มาตรการภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียม) ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 พ.ค. ขณะที่บางรายการจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้ แม้ก่อนหน้านี้จะมีกระแสข่าวว่าเตรียมเจรจาภาษีกับสหรัฐ
ในขณะนี้ผลกระทบจาก Trade War ยังไม่ได้กดดับภาพรวมเศรษฐกิจทั่วโลกในทันมีทันใด แต่ในอนาคตล้วนเต็มไปด้วยความเสี่ยงเพิ่ม Downside GDP Growth และสร้างความกังวลให้กับตลาดได้ไม่น้อย
หลังจากที่ทรัมป์ประกาศเก็บภาษีตอบโต้ทั่วโลก ทำให้นักลงทุนกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อสหรัฐจะปรับตัวขึ้นในอนาคต ดังนั้นดอกเบี้ยนโยบายจึงควรอยู่ระดับสูง ส่งผลให้บอนด์ยีลด์สหรัฐปรับตัวขึ้นแรงวานนี้ (7 เม.ย.) จาก 3.86% เป็น 4.21% (+35 BPS) ซึ่งคล้ายคลึงกับเหตุการณ์ในอดีตอย่างช่วง GREAT DEPRESSION ในปี 1930-1932 ที่ดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสปรับขึ้นก่อนจาก 4.0% สู่ระดับ 6.25% (กังวลเงินเฟ้อสูงขึ้น) ก่อนที่จะทยอยปรับลงหลังจากนั้น 6.25% สู่ 2.0% (ตามภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว)
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเงินเฟ้อในปัจจุบันกับราคาน้ำมันดิบถือว่าอยู่ระดับต่ำกว่าในอดีตมาก จึงทำให้แม้ FED WATCH TOOL จะคาดว่าการประชุมเดือน พ.ค. 2568 ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะคงดอกเบี้ยไว้ระดับเดิมที่ 4.50% แต่การประชุมถัด ๆ ไป ยังมีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยเรื่อย ๆ โดยในปีนี้มีโอกาสลดดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งราว 1%
ขณะที่ในมุมของประเทศไทย วันศุกร์ผ่านมาประกาศเงินเฟ้อ มี.ค. 2568 +0.84% YOY (ต่ำคาดและเดือนก่อนหน้า) โดยหากนำดอกเบี้ยนโยบายมาคิด REAL INTEREST จะอยู่ระดับ 1.16% ซึ่งถือว่ายังพอมี ROOM ให้ กนง.ลดดอกเบี้ยได้ในอนาคต (ฝ่ายวิจัยคาดลดดอกเบี้ยช่วงครึ่งปีหลัง 2568) เมื่อเปรียบเทียบกับช่วง TRADE WAR 1.0 ที่มี REAL INTEREST เพียง 0.74% ในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งน่าจะพอเป็นปัจจัยหนุนให้โฟลว์ต่างชาติที่ซื้อสุทธิตราสารหนี้ในช่วงที่ผ่านมาทยอยไหลและกลับเข้าตลาดหุ้นได้บ้าง