SCB ชี้ พิษสหรัฐ ขึ้นภาษี 36% จ่อหั่นจีดีพีไทยเหลือโต 1.4-1.5%

ธนาคารไทยพาณิชย์

ธนาคารไทยพาณิชย์ โดย “SCB WEALTH” จัดงานเสวนาออนไลน์ หัวข้อ “Trump Tariff กับบริบท เศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลก” เผย จ่อหั่นประมาณการจีดีพีไทยเหลือโต 1.4-1.5% จาก 2.4% ชี้ ไทยรับผลกระทบหนักเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลก ด้านตลาดการเงิน คาดในระยะสั้นภาษีทรัมป์กดดันบาทอ่อน 34.50-35.50 บาทต่อดอลลาร์ เผยตลาดหุ้นไทย แนะนำเลือกลงทุนหุ้นที่มีรายได้อิงในประเทศ ลงทุนเน้นตราสารหนี้ระยะสั้น-กลาง กองทุนผสม และทองคำก่อน หลีกเลี่ยงสินทรัพย์เสี่ยง

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค SCB EIC เปิดเผยว่า การประกาศขึ้นกำแพงภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกา ส่งผลกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก โดย SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการ GDP โลก ปีนี้เหลือเติบโต 2.2% จากเดือน มี.ค.ที่ประเมินไว้ว่าจะเติบโต 2.4% ส่วนเศรษฐกิจสหรัฐ จะเติบโต 1.3% ลดลงจากเดือน มี.ค. ที่คาดการณ์ไว้ 1.9%

สำหรับเศรษฐกิจไทยปีนี้ เดิมคาดว่าจะเติบโต 2.4% ประเมินเบื้องต้นคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตลดลงเหลือราว 1.4-1.5% (SCB EIC อยู่ระหว่างการปรับประมาณการใหม่) เพราะนอกจากถูกสหรัฐ เก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำกับทุกประเทศ 10% แล้ว ไทยยังจะถูกสหรัฐ เก็บภาษีศุลกากรตอบโต้กับประเทศที่มีความไม่เป็นธรรมทางการค้ากับสหรัฐ เพิ่มอีก จนเพดานภาษีที่จะเก็บไทยสูงสุดที่ 36% สูงกว่าค่าเฉลี่ยการถูกเก็บภาษีศุลกากรเพิ่มของทั้งโลก อยู่ที่ 16% และสูงกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน อยู่ที่ 33%

ส่วนทิศทางนโยบายการเงิน คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยอีก 3 ครั้งในปีนี้ไปอยู่ที่ 1.25% ณ สิ้นปี จากเดิมที่มองอีกแค่ 2 ครั้ง ตามทิศทางเศรษฐกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบรุนแรงขึ้น

ทั้งนี้ เราอยู่ในเกมที่ทุกประเทศถูกเก็บภาษีไม่เท่ากัน โดยที่ประเทศอื่นส่วนใหญ่ถูกเก็บภาษีน้อยกว่าเรา ทำให้ประเทศไทยต้องเผชิญการแข่งขันด้านราคากับสินค้าประเทศอื่นที่ถูกกว่า ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องปรับตัวทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การกระจายตลาดส่งออก การบริหารความเสี่ยงเพื่อรับมือความไม่แน่นอน และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะที่บริบทของภาครัฐก็มีความสำคัญในด้านการเจรจาการค้า เตรียมแผนลดผลกระทบภาษีนำเข้าสหรัฐ ในระยะสั้น และการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระยะยาว

นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส SCB Financial Markets ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษี เงินดอลลาร์สหรัฐไม่ได้แข็งค่าอย่างที่เคยคาดไว้ แต่ค่าเงินกลับอ่อนลง ด้านสกุลเงินหลักอื่น ๆ ในโลก เช่น เงินยูโร เงินเยน และเงินฟรังก์สวิส แข็งค่าขึ้น เนื่องจากรับหน้าที่เป็นสกุลเงินปลอดภัย (Safe haven currency) ส่วนสกุลเงินในเอเชียอ่อนค่าลง จากการที่นักลงทุนสูญเสียความเชื่อมั่น

ADVERTISMENT

โดยค่าเงินบาทอ่อนค่ามากกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาค เนื่องจากไทยเผชิญผลกระทบ 2 เรื่องซ้อนกัน คือผลกระทบจากแผ่นดินไหว และผลกระทบจากการขึ้นกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าของทรัมป์ อีกทั้ง ไทยพึ่งพาการค้ากับสหรัฐ และจีนสูง นักลงทุนจึงสูญเสียความเชื่อมั่นค่อนข้างมาก

สำหรับค่าเงินบาทในระยะสั้น คาดว่า อาจจะอ่อนค่าอยู่ในกรอบ 34.5-35.5 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สอดคล้องกับประเทศในตลาดเกิดใหม่ที่ยอมให้เงินอ่อนค่าเพื่อรองรับผลกระทบจากกำแพงภาษีของทรัมป์ และเงินบาทอาจอ่อนค่าตามแนวโน้มเงินหยวน

ADVERTISMENT

สำหรับในระยะกลางถึงยาว แนวโน้มเงินบาทจะขึ้นอยู่กับการเจรจาการค้ากับสหรัฐ โดยในกรณีที่ไทยไม่สามารถตกลงกับสหรัฐ เพื่อให้ลดภาษีลงได้ภายใน ก.ค. อาจทำให้ความเชื่อมั่นลดลง ในช่วงครึ่งปีหลัง กดดันบาทอ่อนค่าเร็วต่อได้ในกรอบ 35.50-36.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ดี หากไทยสามารถเจรจาได้ และสหรัฐ ยอมลดภาษีลงบางส่วน ทั้งต่อไทยและประเทศอื่น ๆ ทำให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจและ Global capital flows ไม่รุนแรง ก็อาจทำให้เงินบาททรงตัวหรือกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีหลังในกรอบ 34.00-35.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายสิทธิชัย ดวงรัตนฉายา หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า หากนับตั้งแต่ต้นปี 2568 ตลาดหุ้นไทยปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ให้ผลตอบแทนต่ำสุดอันดับต้น ๆ ของโลก แต่หากนับตั้งแต่ประธานาธิบดีทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีศุลกากร ตลาดหุ้นไทย ปรับลดลงน้อยกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาค

โดยเราคาดว่า ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบทางตรงไม่มาก โดยหากรายได้จากสหรัฐ ลดลง 10% จะกระทบกำไรบริษัทจดทะเบียน 2% แต่หากปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1 ครั้ง ก็สามารถชดเชยผลกระทบนี้ได้แล้ว

ส่วนที่กระทบตลาดหุ้นไทยมากคือ ผลกระทบทางอ้อมที่มาจากเศรษฐกิจ โดยหาก GDP ของไทยลดลง 0.5% จะทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลง 6% หาก GDP ไทย ลดลง 3% จะทำให้กำไรบริษัทจดทะเบียนลดลงเกือบ 30% จึงต้องขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจว่าได้รับผลกระทบมากน้อยอย่างไร ขณะที่การลงทุนในตลาดหุ้นไทยเวลานี้ เรามองว่า ควรเน้นคัดเลือกหุ้นของบริษัทที่เน้นตลาดในประเทศมาก ๆ โดยเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากความต้องการในประเทศ และราคาพลังงานที่ลดลง

นางสาวเกษรี อายุตตะกะ ผู้อำนวยการ Investment Research SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า SCB CIO ประเมินผลกระทบจากภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ เป็น 2 กรณี โดยกรณีแรก Base case มีความเป็นไปได้ 80% ประเทศต่าง ๆ จะเจรจาต่อรองกับสหรัฐ ได้ โดยใช้เวลาไม่นานนัก ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐ และเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัว และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐ เพิ่มขึ้นชั่วคราว ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นโลกมีแนวโน้มผันผวนในระยะสั้น

ส่วน กรณีที่ 2 Worst case มีความเป็นไปได้เพียง 20% คือ การเจรจายืดเยื้อมากกว่า 6 เดือน มีการตอบโต้รุนแรงจากจีนและประเทศอื่น ๆ เช่น ยุโรป รวมถึงประธานาธิบดีทรัมป์ อาจประกาศมาตรการทางภาษีใหม่ ๆ ที่รุนแรงเพิ่มเติม จะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐ มีแนวโน้มเกิดภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวแต่เงินเฟ้อสูง (Stagflation) หรือเกิดภาวะถดถอย (Recession) ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐ และตลาดหุ้นโลก เป็นขาลงในระยะยาว

ทั้งนี้ เรามองว่า มีโอกาสเกิดกรณี Base case มากกว่า จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงช่วงนี้ จนกว่าสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น ส่งผลให้ความผันผวนปรับลดลง อย่างไรก็ตาม ยังสามารถลงทุนได้ในตราสารหนี้ ที่มี Duration ระยะสั้นและระยะกลาง กองทุนผสมที่มีผู้จัดการกองทุนดูแลปรับสัดส่วนการลงทุนให้ในพอร์ตหลัก และ ทองคำ

นายชาตรี โรจนอาภา หัวหน้าทีมที่ปรึกษาการลงทุน SCB CIO ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ในภาวะที่ตลาดการเงินกำลังมีความผันผวนสูง นักลงทุนควรใจเย็น ติดตามสถานการณ์ก่อน กรณีความเป็นไปได้ของการเจรจาระหว่างทรัมป์ และประเทศต่าง ๆ ออกมาเป็น Base case

ตามที่ SCB CIO ประเมิน นักลงทุนที่มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ ควรรอดูสถานการณ์ก่อน (Wait and See) เมื่อตลาดเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว อาจกลับเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นที่ปรับลดลงไปมาก จากการได้รับผลกระทบด้านกำแพงภาษีของทรัมป์ เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ตลาดหุ้นเวียดนาม ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ และตลาดหุ้นไทย

อย่างไรก็ตาม หากเหตุการณ์พัฒนาจนกลายเป็น Worse case ซึ่งมีโอกาสเกิดน้อย แต่หากเกิดขึ้นจริง อาจจำเป็นต้องขายลดน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวมในพอร์ตลงทุน ส่วนนักลงทุนที่ยังไม่ได้มีการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเลย สามารถทยอยลงทุนได้ หลังจากที่สถานการณ์เริ่มมีความชัดเจนแล้ว

ในส่วนของสินทรัพย์ที่เสี่ยงไม่สูงอย่าง ตราสารหนี้ สามารถลงทุนได้เลย เนื่องจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง ดังนั้น การลงทุนตราสารหนี้ในช่วงเวลานี้ จะช่วยให้ผู้ลงทุนยังมีโอกาสรับผลตอบแทนในระดับสูงอยู่ ก่อนที่ดอกเบี้ยจะปรับลดลง โดยอาจเลือกตราสารหนี้ระยะสั้นและกลางเป็นหลัก

ขณะที่ ทองคำ เป็นสินทรัพย์อีกประเภทที่น่าสนใจ เพราะธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ มีแนวโน้มสะสมทองคำในทุนสำรองระหว่างประเทศมากขึ้น โดยการปรับฐานของราคาทองคำในช่วงนี้ อาจเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการลงทุนทองคำในระยะยาว