จัดพอร์ต ลี้ภัยภาษี ‘ทรัมป์’ กูรูแนะทิศทางลงทุนฝ่าความผันผวน

ภายหลังจาก “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศขึ้นกำแพงภาษีทุกประเทศทั่วโลก เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา และหลายประเทศก็มีการตอบโต้ หาทางเจรจาเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประเทศของตนเอง ขณะที่สินทรัพย์ต่าง ๆ ทั่วโลกต่างผันผวนและปรับตัวลดลงอย่างหนัก นักลงทุนต่างกังวลความไม่แน่นอนในนโยบายที่เกิดขึ้น และเทขายสินทรัพย์ออกมากันถ้วนหน้า

สงครามสหรัฐ-จีนไม่จบง่าย

เรื่องนี้ “ชยนนท์ รักกาญจนันท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัทหลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) ฟินโนมีนา ชี้ว่า สงครามการค้าสหรัฐกับจีนไม่จบเร็วแน่นอน ซึ่งจะทำให้การค้าโลกหดตัวลง ทำให้นักวิเคราะห์ต่างมองว่า ครึ่งปีหลังนี้มีโอกาสที่จะเกิดเศรษฐกิจถดถอยในที่ใดที่หนึ่งของโลก โดยปัจจุบันการลงทุนมีความผันผวนค่อนข้างสูงจากนโยบายภาษีของทรัมป์ ดังนั้น การวางกลยุทธ์ต้องลดความเสี่ยงและการสร้างสมดุลของพอร์ตระหว่างทองคำ ตราสารหนี้ และหุ้น

ชยนนท์ รักกาญจนันท์
ชยนนท์ รักกาญจนันท์

ซึ่งประเมินว่าในช่วงนี้ ตลาดหุ้นน่าจะปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และหุ้นสหรัฐอาจจะไม่ใช่ดาวเด่นอีกต่อไป เพราะยังได้รับผลกระทบจากกำแพงภาษี ส่วนหุ้นจีนบางตัวที่ไม่ได้ผูกพันกับเศรษฐกิจสหรัฐมากนัก และมี Valuation ถูก หลังจากปรับฐานอาจจะมีโอกาสที่จะขึ้นได้ ขณะที่ทองคำก็เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ต้องมีในพอร์ตเพื่อกระจายความเสี่ยง

“ฟินโนมีนาแนะนำนักลงทุนให้ดูพอร์ตของ ดร.แอนดรูว์ สตอตซ์ ชื่อว่า All Weather Strategy ที่มีการกระจายการลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์ และหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น สหรัฐ จีน ทองคำ และตราสารหนี้โลก ซึ่งเราคิดว่าพอร์ตแบบนี้น่าจะฝ่าพายุไปได้”

ไม่ใช่ช่วง Cut Loss

ทั้งนี้ “ชยนนท์” มองว่า ในระยะสั้นไม่ใช่ช่วงเวลา Cut Loss หรือตัดขายขาดทุน เนื่องจากตลาดปรับตัวลดลงแรงเกินไป และเชื่อว่าจะมีบางประเทศที่สามารถเจรจาและไม่โดนขึ้นภาษีรุนแรงในครั้งแรกที่ทรัมป์ประกาศ ซึ่งหุ้นบางประเทศที่ใหญ่และเป็นพันธมิตรกับสหรัฐ อาจจะเป็นโอกาสซื้อ หากสามารถเจรจากับทรัมป์ได้ลงตัว

หุ้นไทยเสี่ยงหลุด 1,000 จุด

“ชยนนท์” กล่าวอีกว่า ส่วนประเทศที่ไม่มีอำนาจหรือไม่มีข้อต่อรองไปแลกให้สหรัฐพอใจได้ ตลาดอาจจะเหนื่อย อย่างประเทศไทยได้ดุลการค้าจากสหรัฐติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก และสหรัฐเป็นคู่ค้าหลักของไทย จึงห่วงว่าสหรัฐจะมองไทยกับจีนเป็นพันธมิตรที่ดีมากกว่า และอาจจะไม่ลดภาษีให้กับไทย และหากเป็นจริงมองว่า ดัชนี SET อาจจะหลุด 1,000 จุดได้ โดยหากลงทุนช่วงนี้แนะนำ กลุ่มหุ้นปันผลใน SET High Dividend ที่จ่ายปันผลสูง

ADVERTISMENT

ลดสัดส่วนหุ้นสหรัฐ

ขณะที่ “ดร.รัฐศรัณย์ ธนไพศาลกิจ” ผู้อำนวยการอาวุโส สายงาน Wealth Products & Strategy บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงไตรมาส 2/2568 ตลาดการลงทุนยังเผชิญความผันผวนสูงจากมาตรการภาษี Reciprocal Tariffs ของสหรัฐ ที่อาจกระทบเงินเฟ้อและเศรษฐกิจโลก แม้ภาคเทคโนโลยียังมีแนวโน้มแข็งแกร่ง แต่ตลาดหุ้นสหรัฐอาจถูกกดดันจากความเสี่ยงเรื่องเศรษฐกิจถดถอยที่เพิ่มสูงขึ้น จากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรง

“แนะนำปรับลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ เนื่องจากมีความน่าสนใจลดลง และความไม่แน่นอนด้านนโยบายการค้ายังคงกดดันตลาดหุ้นสหรัฐ จากสถิติในอดีตพบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนี S&P500 หลังเข้าสู่โหมด Correction (ปรับตัวลงจากจุดสูงสุด 10%) มักเคลื่อนไหว Sideways ต่ออีกราว 2-3 เดือน แม้เป็นกรณีที่ตลาดหุ้นไม่ได้เข้าสู่ Bear Market เนื่องจากตลาดรอความชัดเจนต่อปัจจัยกดดันต่าง ๆ ให้คลี่คลายลง”

ADVERTISMENT

มองบวกหุ้นจีน-เวียดนาม

“ดร.รัฐศรัณย์” กล่าวอีกว่า บล.อินโนเวสท์ เอกซ์ มีมุมมองด้านบวกสำหรับตลาดจีน โดยเฉพาะหุ้น A-Shares เนื่องจากได้รับแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐและการหันกลับมาสนับสนุนภาคเอกชน และมองบวกตลาดเวียดนามจากประเด็นโอกาสการยกระดับตลาดหุ้นขึ้นสู่ Emerging Market พร้อมแนะนำกระจายพอร์ตสู่สินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ตราสารหนี้ ซึ่งมีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่มั่นคงในภาวะความผันผวนสูง

“หุ้นเชิงรับ (Defensive Stocks) อย่าง Healthcare และ Utility คาดว่าจะยังคงให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้นเติบโต (Growth Stocks) โดยนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยงสามารถพิจารณากองทุนตราสารหนี้ เช่น UGIS-N ควบคู่กับกองทุนหุ้นต่างประเทศอย่าง หุ้นจีน A-Shares กองทุน KFCSI300-A และหุ้นเวียดนาม กองทุน PRINCIPAL VNEQ-A รวมถึงกองทุนหุ้นเชิงรับอย่าง LHHEALTH-A ซึ่งเน้นกลุ่ม Healthcare เพื่อสร้างสมดุลพอร์ตในภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน”

ลดสัดส่วนประเทศรับผลกระทบ

“วจนะ วงศ์ศุภสวัสดิ์” CFA กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดการเงินทั่วโลกปั่นป่วน หลังทรัมป์ประกาศภาษี Reciprocal Tariffs เมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงแรง ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ อายุ 10 ปี ลดลงมาอยู่ที่ 4% สะท้อนความกังวลเศรษฐกิจถดถอย ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินปลอดภัยอย่าง เยน และฟรังก์สวิส รวมถึงเงินบาทก็อ่อนค่าลงในวันที่มีการประกาศภาษีนำเข้า

โดยจากความกังวลของนักลงทุนว่า ภาษีใหม่จะทำให้เกิด Stagflation นั่นคือ เงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งอาจส่งผลให้มีโอกาสเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยสูงขึ้นได้นั้น บลจ.กสิกรไทยแนะนำให้พิจารณาสัดส่วนการลงทุนใน Core-Satellite Portfolio โดยในส่วนของ Core Portfolio ที่ต้องการสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาวนั้น

“การลงทุนยังสามารถคงสัดส่วนการลงทุนในกองทุนกลุ่ม K-WealthPLUS Series ทั้ง K-WPBALANCED, K-WPSPEEDUP และ K-WPULTIMATE ได้เช่นเดิม ส่วน Satellite Portfolio ผู้ลงทุนควรปรับลดสัดส่วนการลงทุนในกองทุนที่มีหุ้นจากประเทศที่ได้รับผลกระทบจากภาษีนำเข้าในรอบนี้อย่าง เวียดนาม และจีน เป็นต้น”

นักลงทุนอยากถือเงินสด

ฟาก “ประกิต สิริวัฒนเกตุ” ผู้อำนวยการอาวุโส บลจ.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ แนะนำว่า ช่วงนี้ควรลงทุนในตราสารหนี้ โดยเฉพาะตราสารหนี้ภาครัฐ (Government Bond) เพราะตลาดหุ้นทั่วโลกปัจจุบันยังผันผวนค่อนข้างสูง หุ้นสหรัฐคาดว่าปรับลดลงและมีโอกาสโดนขายต่อได้ โดยมองว่าในช่วงไตรมาส 2/2568 ความเสี่ยง Recession จะทวีความรุนแรงขึ้น

“ตอนนี้ความน่ากลัวของสถานการณ์ คนอยากถือเงินสดมากกว่าถือสินทรัพย์ จากความผันผวนต่าง ๆ และความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น โดยมองว่าโอกาสน่าจะมีอยู่ นักลงทุนจึงถือเงินสดเพื่อรอโอกาสนั้น”