หุ้นไทยเขียวยกแผงปิด +45 จุด ขานรับทรัมป์เลื่อนรีดภาษีชั่วคราว 90 วัน

หุ้นไทย-SET-INDEX-กราฟิก

หุ้นไทยเขียวยกแผงปิด +45.77 จุด ขานรับทรัมป์เลื่อนรีดภาษีชั่วคราว 90 วัน รายย่อยพลิกขายทำกำไร 4 พันล้าน หลังจากก่อนหน้านี้ 4 วันติดไล่ซื้อรวมกว่า 2 หมื่นล้าน

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) รายงานสรุปภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (10 เม.ย. 2568) ว่า ดัชนี SET ปิดตลาดที่ 1,133.95 จุด เพิ่มขึ้น 45.77 จุด (+4.21%) จำนวนหุ้นปรับขึ้น 490 บริษัท และปรับลง 72 บริษัท โดยมีมูลค่าการซื้อขายรวม 50,222 ล้านบาท แยกการซื้อขายตามกลุ่มนักลงทุน ประกอบด้วย

  • โบรกเกอร์ ซื้อสุทธิ 1,652 ล้านบาท
  • สถาบัน ซื้อสุทธิ 1,407 ล้านบาท
  • ต่างชาติ ซื้อสุทธิ 957 ล้านบาท
  • รายย่อย ขายสุทธิ 4,017 ล้านบาท
  • สำหรับรายย่อยพลิกขายทำกำไร หลังจากก่อนหน้านี้ 4 วันติดไล่ซื้อหุ้นรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท)

ทั้งนี้ได้แรงหนุนตอบรับประเด็นบวกประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ลดภาษีนำเข้าแบบเฉพาะประเทศลงชั่วคราว 90 วัน เหลือเป็นอัตราเดียวที่ 10% สำหรับทุกประเทศคู่ค้า ยกเว้นจีน โดยมีผลทันที สำหรับเซ็กเตอร์ที่ปรับขึ้นหนุนดัชนีคือ พลังงาน (GULF, PTT, PTTEP), อิเล็กทรอนิกส์ (DELTA, KCE, HANNA), ธนาคาร (SCB, KBANK), และ ICT (TRUE, ADVANC)

สำหรับหุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ WHA +15.45%, AMATA +15.57% หุ้นในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น ตอบรับประเด็นบวก หลังประเด็นสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากจีนเพิ่มเติมจาก 104% เป็น 124% สถานการณ์นี้เพิ่มโอกาสในการย้ายฐานการผลิตจากจีนมายังภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทย ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มนิคมฯ ที่มีศักยภาพในการรองรับการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ (FDI)

DELTA +15.42%, KCE +6.67%, HANA +8% หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบเชิงลบจากประเด็น reciprocal tariffs และ Trade volume เริ่มฟื้นตัว สหรัฐประกาศเลื่อนเก็บภาษีเท่าเทียม (Reciprocal Tax) กับทุกประเทศที่ไม่ตอบโต้ภาษี 90 วัน โดยจะเก็บที่ 10% ยกเว้นจีน การคลายตัวของความขัดแย้งทางการค้าในระดับโลกทำให้ความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ลดลงอย่างมีนัยยะ ส่งผลให้หุ้นกลุ่มชิ้นส่วนฟื้นตัวได้เด่นชัด

PTTEP +6.15%, PTT +0.82% ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นแรง โดย Brent +4.23% เทียบจากวันก่อนหน้า (DOD) ปิดที่ 65.48 ดอลลาร์/บาร์เรล และ WTI +4.65% DOD ปิดที่ 62.35 ดอลลาร์/บาร์เรล สะท้อนดีมานด์พลังงานและน้ำมันที่กลับมา หลังความเสี่ยงทางการค้าคลี่คลายจากมาตรการภาษีของสหรัฐที่ถูกผ่อนปรน ส่งผลบวกต่อกลุ่มพลังงานต้นน้ำอย่าง PTTEP และ PTT ซึ่งมีโครงสร้างรายได้ที่อิงกับราคาน้ำมัน (Oil-linked revenue structure)

ADVERTISMENT

GULF +8.88%, BGRIM +6.81%, GPSC +2.82% หุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับขึ้น ตอบรับมุมมองเชิงบวกต่อกระแสการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีพลังงาน (Infra Tech) ที่มีแนวโน้มเร่งตัวในระยะสั้น จากความกังวลเศรษฐกิจถดถอยคลายลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงยกเว้นมาตรการเก็บภาษี reciprocal tariffs สำหรับประเทศที่ไม่มีมาตรการตอบโต้ ซึ่งช่วยลดแรงกดดันต่อต้นทุนและกระแสเงินลงทุนในโปรเจกต์พลังงานระยะยาว โดยเฉพาะโครงการที่มีการพึ่งพาเทคโนโลยีหรือการนำเข้าอุปกรณ์จากต่างประเทศ GULF, BGRIM และ GPSC จึงได้แรงหนุนทั้งจากบรรยากาศบวก และภาพระยะกลางที่ยังแข็งแกร่งจากการขยายกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง

AOT +6.90% หุ้นกลุ่มที่ยังรีบวาด์ช้ากว่าดัชนี SET ฟื้นตัวแรง อิง นับจากต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) -22.3% อิงเกณฑ์ปรับลดลงแรงกว่า SET + Beta สูง + RSI ทางเทคนิค

ADVERTISMENT

KTB +7.08%, SCB +2.94%, KBANK +1.67%, BBL +3.35% กลุ่มธนาคารเริ่มกลับมาเคลื่อนไหวในเชิงบวก หลังความกังวลเกี่ยวกับ GDP ที่อาจเผชิญ Downside risk จากสงครามการค้าลดลง เมื่อทรัมป์ประกาศชะลอมาตรการภาษี Reciprocal tax โดยตรง นอกจากนี้ความเสี่ยงต่อ Loan growth ที่ต่ำกว่าคาดในช่วงก่อนหน้าก็เริ่มคลี่คลาย ประกอบกับโอกาสที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะไม่เร่งลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม กลายเป็นปัจจัยสนับสนุนเชิงบวกต่อกลุ่มธนาคาร