รับมือภาษี TRUMP : เข้าใจตลาดหมีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต

bear market รับมือภาษี TRUMP : เข้าใจตลาดหมีจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต
คอลัมน์ : สถานีลงทุน
ผู้เขียน : สวภพ ยนต์ศรี บลจ.ทิสโก้

ตลาดหุ้นในช่วงที่ราคาปรับตัวลงแรง มักสร้างความกังวลใจให้กับนักลงทุนเสมอ คำถามยอดฮิตที่หลายคนคิดในใจคือ “ครั้งนี้จะลงไปไกลแค่ไหน ?” “จะใช้เวลากี่ปีถึงจะฟื้น ?” และ “ควรทำอย่างไรต่อดี ?” คำตอบทั้งหมดนี้อาจไม่ได้มีสูตรตายตัว แต่สิ่งที่ช่วยให้เรามีสติกับสถานการณ์มากขึ้น คือการทำความเข้าใจว่า “ตลาดหมี” (Bear Market) คืออะไร และในอดีตเคยเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง

ข้อมูลจากรายงานของ Goldman Sachs ที่ได้ทำการศึกษาตลาดหมีย้อนหลังนับร้อยปี และชี้ให้เห็นภาพรวมที่น่าสนใจว่า ตลาดหมีสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ซึ่งแต่ละแบบมี “ที่มา” และ “พฤติกรรม” ที่ต่างกันชัดเจน

ประเภทแรก คือ ตลาดหมีแบบโครงสร้าง (Structural Bear Market) เกิดจากปัญหาใหญ่ที่ฝังลึก เช่น ฟองสบู่แตก วิกฤตธนาคาร หรือเศรษฐกิจพังทลาย เช่น วิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 1929 หรือปี 2008 ซึ่งตลาดปรับตัวลงแรงเฉลี่ยราว 57% และต้องใช้เวลาฟื้นตัวนานนับเกือบ 9 ปีเต็ม

ประเภทที่สอง คือ ตลาดหมีแบบวัฏจักร (Cyclical Bear Market) เกิดจากเศรษฐกิจเข้าสู่ช่วงชะลอตัว เช่น ดอกเบี้ยขึ้น กำไรบริษัทลด หรือเกิดภาวะถดถอยช่วงสั้น ๆ โดยเฉลี่ยตลาดจะปรับตัวลงราว 31% และใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 4 ปี ถือว่าเป็นตลาดหมีที่พบบ่อยที่สุด

ประเภทสุดท้าย คือ ตลาดหมีแบบเหตุการณ์เฉพาะ (Event-driven Bear Market) เช่น COVID-19 หรือเหตุการณ์สงครามที่ไม่รุนแรงบานปลาย เป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบทันทีแต่ไม่ยืดเยื้อ หากไม่มีผลกระทบในเชิงลึกต่อระบบเศรษฐกิจ โดยเฉลี่ยตลาดจะลงประมาณ 27% และใช้เวลาฟื้นตัวเร็วที่สุด ราว 1 ปีเท่านั้น

เมื่อเรามองย้อนกลับไป จะพบว่า “ตลาดหมีทุกรอบในประวัติศาสตร์ ล้วนมีจุดสิ้นสุด” แม้บางรอบจะใช้เวลาฟื้นตัวนาน แต่สุดท้ายตลาดหุ้นก็กลับมาสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ดีเสมอ นี่จึงเป็นเหตุผลสำคัญว่าทำไมนักลงทุนควร “มองภาพใหญ่” มากกว่าตื่นตระหนกกับความผันผวนในระยะสั้น

ADVERTISMENT

ในภาวะปัจจุบันที่ตลาดหุ้นผันผวนจากนโยบายภาษีของประธานาธิบดี Donald Trump บทวิเคราะห์ของ Goldman Sachs มองว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเผชิญกับตลาดหมีแบบเหตุการณ์เฉพาะ (Event-driven Bear Market) จากการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าอย่างฉับพลัน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ตลาดปรับตัวลงแรง โดยเฉพาะในสหรัฐ ที่แม้เศรษฐกิจจะยังดูแข็งแรง แต่การกระตุ้นความไม่แน่นอนในเชิงนโยบาย ทำให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนสั่นคลอนอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ดี ถึงแม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจจะเป็นเพียงแค่ตลาดหมีแบบเหตุการณ์เฉพาะ (Event-driven Bear Market) แต่หากว่าสถานการณ์ลุกลามลากเศรษฐกิจให้ถดถอย ก็อาจพัฒนาเป็นตลาดหมีวัฏจักรในที่สุด ซึ่งจะทำให้การฟื้นตัวล่าช้าออกไป และส่งผลต่อผลประกอบการของบริษัทต่าง ๆ อย่างชัดเจน ดังนั้นหลังจากนี้ยังคงต้องติดตามสถานการณ์การดำเนินนโยบายของ Trump และตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ที่ออกมาอย่างใกล้ชิด

และสิ่งที่นักลงทุนควรทำ คือการเตรียมพอร์ตให้มีความยืดหยุ่น ไม่อิงกับสินทรัพย์ประเภทเดียวมากเกินไป การกระจายความเสี่ยงทั้งในเชิงภูมิภาคและประเภทสินทรัพย์ จะช่วยให้พอร์ตทนทานต่อแรงกระแทกจากตลาดหมีได้ดีขึ้น เช่น ผสมระหว่างหุ้น ตราสารหนี้ ทองคำ และกองทุนทางเลือกอื่น ๆ ซึ่งอาจเคลื่อนไหวแตกต่างกันในช่วงตลาดลง

ยิ่งไปกว่านั้น นักลงทุนควรให้ความสำคัญกับ “สภาพคล่อง” หรือเงินสดในพอร์ตด้วยเช่นกัน เพราะในช่วงที่ตลาดผันผวนมาก อาจมีโอกาสดี ๆ ปรากฏขึ้น เช่น กองทุนที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี แต่ราคาลงมาเกินปัจจัยพื้นฐาน การมีเงินสดในมือจะทำให้สามารถเข้าไปลงทุนได้ทันที โดยไม่ต้องขายสินทรัพย์อื่นเพื่อเข้าไปลงทุน

ในอดีตที่ผ่านมาพฤติกรรมของตลาดยังสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนมักจะตื่นตระหนกมากเกินไปในช่วงตลาดหมี และมักคาดการณ์ในทางร้ายเกินไป ในขณะที่ในช่วงตลาดกระทิง กลับคาดหวังเกินจริง ดังนั้นการมีมุมมองแบบ “สมดุล” ไม่กล้าหรือกลัวจนเกินไปคือหัวใจสำคัญของการลงทุนระยะยาว และนักลงทุนควรใช้ช่วงตลาดหมีเป็นโอกาสในการ “ประเมินตนเอง” ว่ามีเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนหรือไม่ แผนการลงทุนยังสอดคล้องกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้หรือเปล่า

และเรายังมีวินัยพอจะเดินหน้าต่อไปท่ามกลางความผันผวนได้หรือไม่ เพราะบางครั้ง การปรับแผนหรือทบทวนพอร์ต อาจให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าแค่การถืออดทนไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีทิศทาง

ท้ายที่สุดแล้ว ตลาดหมีอาจเป็นบททดสอบสำคัญของนักลงทุนทุกคน มันคือช่วงเวลาที่วัดใจ วัดวินัย และวัดความเชื่อมั่นในแผนการลงทุนของตนเอง นักลงทุนที่เข้าใจตลาดหมีในภาพใหญ่ ย่อมมีโอกาสมากกว่าคนที่ปล่อยให้ความกลัวนำทาง เพราะประวัติศาสตร์พิสูจน์มาแล้วว่า ทุกครั้งที่ตลาดฟื้น คนที่ “ยังอยู่ในเกม” มักเป็นผู้เก็บเกี่ยวผลตอบแทนที่งอกงามในระยะยาว และไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่ หรือผู้ที่อยู่ในตลาดมานานแล้ว

การเรียนรู้ธรรมชาติของตลาดหมีคือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณสามารถก้าวข้ามช่วงเวลายากลำบาก และเดินหน้าไปสู่เป้าหมายทางการเงินได้อย่างมั่นคง เพราะตลาดหมีไม่ใช่เรื่องใหม่ และก็ไม่ใช่จุดจบของเส้นทางการลงทุน มันเป็นเพียงอีกช่วงหนึ่งที่นักลงทุนทุกคนต้องผ่านไป เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา