
ธปท. ชี้สหรัฐขึ้นภาษีฉุดเศรษฐกิจไทยปี’68 โตต่ำ 2.5% มองผลกระทบน้อยกว่าโควิด-19 ย้ำเป็น Shock ที่เกิดขึ้นลึกแค่บางเซ็กเตอร์ รับภาคการผลิต-การลงทุนเริ่มชะลอ หวังรอดูหลัง 90 วัน เผย 5 ช่องทางผลกระทบต่อไทย ยันพร้อมดูแลค่าเงินบาทให้เคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกตลาด-ดูแลทุนสำรองระหว่างประเทศใกล้ชิด
นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ผลกระทบการปรับภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) ต่อเศรษฐกิจไทยนั้น มองว่าผลกระทบรอบนี้เป็น Shock ที่มีความลึกในบางเซ็กเตอร์ ไม่เหมือนช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ที่กระจาย ซึ่งคาดว่าผลกระทบจาก Tariff ต่อเศรษฐกิจโลกลดลง 0.5-1% แต่โควิด-19 กระทบเศรษฐกิจโลก 2-3%
ขณะที่ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเห็นว่าจากการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2568 เดิมมองว่าจีดีพีไทยน่าจะขยายตัวได้ 2.5% บวกเล็กน้อย จากประมาณการเดิม 2.9% แต่จากผลกระทบการปรับภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) นั้น ส่งผลต่อจีดีพีต้องปรับลดลงแน่นอน น่าจะต่ำกว่า 2.5% แต่ผลของการขึ้นภาษีจะมาในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่ง ธปท.ต้องรอดูพัฒนาการหลังจาก 90 วัน ซึ่งตัวเลขผลกระทบไม่น้อย แต่ไม่แรงเท่าโควิด-19 ขึ้นอยู่กับผลของภาษีและผลของการเจรจา
“ต้องบอกว่า Reciprocal Tariffs เป็น Shock ที่ใหญ่ แต่เป็น Shock ที่เกิดขึ้นมีความลึกในบางเซ็กเตอร์ ไม่เหมือนกับโควิด-19 ที่กระจาย ซึ่งก็ขึ้นกับผลของการขึ้นภาษีว่าจะอยู่ที่เท่าไร และการเจรจาด้วย ซึ่งรอบที่แล้วลดดอกเบี้ย เราได้เทคความเสี่ยงของการค้าไปบ้างแล้ว แต่คิดกรณีพื้นฐานขึ้นภาษี 10% เราจะมีการนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้เข้ามาพิจารณาในที่ประชุม กนง. ในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ทั้งจีดีพี เงินเฟ้อ และตัวเลขส่งออก ซึ่งในแง่ของเศรษฐกิจต้องยอมรับว่าความเสี่ยงสูงขึ้น ตัวเลขจีดีพีน่าจะต่ำกว่า 2.5% แน่ ๆ”
นายสักกะภพกล่าวว่า ผลกระทบจะส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยในหลายช่องทาง และใช้เวลากว่าจะเห็นผลที่ชัดเจน ในระยะสั้น ตลาดการเงินผันผวนขึ้น เริ่มเห็นการผลิต การค้า และการลงทุนบางส่วนชะลอเพื่อรอความชัดเจน ขณะที่จะเห็นผลของ Tariff ต่อการส่งออกมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ทั้งนี้ ความรุนแรงของผลกระทบจะขึ้นกับภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บเทียบกับประเทศคู่ค้า และการตอบโต้ระหว่างประเทศเศรษฐกิจหลักและสหรัฐ ซึ่งผลต่อเศรษฐกิจการเงินไทยจะมีผ่าน 5 ช่องทางหลัก ดังนี้
1.ตลาดการเงิน ราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินโลกและไทยผันผวนมากขึ้น โดยรวมสภาพคล่องและกลไกการทำธุรกรรม (Market Functioning) ยังเป็นไปตามปกติ ค่าเงินบาทต่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากช่วงก่อนวันที่ 2 เมษายน เล็กน้อย (2.71% ณ 12.00 น. 17 เม.ย. 68 เทียบกับ JPY และ KRW ที่แข็งค่าขึ้น 4.75% และ 3.11% ตามลำดับ) สอดคล้องกับภูมิภาค ตามค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนเร็วจากความกังวลต่อผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ
ส่วนตลาดหุ้นปรับลดลงสอดคล้องกับภูมิภาค ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไทยปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ยังไม่เห็นการทำธุรกรรมที่ผิดปกติจากกลุ่มนักลงทุนสถาบัน ในส่วนของภาวะการระดมทุนผ่านหุ้นกู้โดยรวมยังเป็นปกติ โดยต้องติดตามผลจากภาวะการเงินต่อธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก Tariff อย่างใกล้ชิด ทั้งนี้ เสถียรภาพด้านต่างประเทศของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี ไทยมีสัดส่วนหนี้ต่างประเทศระยะสั้นน้อย
“เราดูแลเงินบาทให้เคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกตลาด อย่างไรก็ดี ในแง่ทุนสำรองระหว่างประเทศ ธปท.มีการประเมินตลอดเวลา และการลงทุนมีการกระจายความเสี่ยง ลงทุนในประเทศที่มีเรตติ้งที่ดี และลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ ที่มีความปลอดภัย เช่น ทองคำ เป็นต้น นอกจากนี้ ธปท.ยังมอนิเตอร์และปรับการดูแลตลอดเวลา”
2.การลงทุน ความไม่แน่นอนที่ยังสูงต่อเนื่อง ทำให้การตัดสินใจทางธุรกิจและการลงทุนชะลอออกไป (Wait and See) โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐเป็นหลัก (อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และยานยนต์) ซึ่งเริ่มเห็นผลดังกล่าวบ้างแล้ว จากการหารือกับผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าว
มีบางส่วนรอความชัดเจนเพื่อตัดสินใจการลงทุนใหม่จากแผนเดิมที่วางไว้ ในระยะต่อไป หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่นอาจเห็นการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย
“จากการพูดคุยผู้ประกอบการ 18 ราย พบว่ามีการชะลอการผลิตและการลงทุน ส่วนหนึ่งชะลอดูหลัง 90 วัน ว่าเขาจะต้องเจอภาษีเพิ่มขึ้นเท่าไร และมีการชะลอการลงทุนด้วย ทั้งนี้ หากดูการขอรับส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเห็นเม็ดเงินลงทุนในอีก 1 ปีข้างหน้า โดยใน 5 อุตสาหกรรมหลักคิดเป็น 7.5 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 8% ของบีโอไอทั้งหมด หรือคิดเป็น 3% ของการลงทุนเอกชน”
3.การส่งออก เป็นช่องทางหลักที่ได้รับผลกระทบจาก Tariff แต่ยังมีความไม่แน่นอนของนโยบายภาษี เพราะมีการชะลอการบังคับใช้ Reciprocal Tariffs ออกไป 90 วัน จึงคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป และน่าจะเห็นการเร่งส่งออกในไตรมาสที่ 2/68 เช่น อาหารแปรรูป โดย Exposure ของการส่งออกไทยไปสหรัฐ คิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และคิดเป็น 2.2% ของจีดีพี
โดยเซ็กเตอร์หลัก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป นอกจากนี้ จะมีผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยที่อยู่ใน Supply Chain ของโลก ที่ผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐด้วย (ยาง ชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็ก และเคมีภัณฑ์ คิดเป็นประมาณ 4.3% ของการส่งออกไทย)
4.การแข่งขันที่จะรุนแรงขึ้น : สินค้าไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐได้น้อยลง และหันมาส่งออกไปยังตลาดเดียวกับไทย รวมถึงส่งมายังไทย โดยเฉพาะหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โลหะ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่มีอยู่เดิม
5.เศรษฐกิจโลกที่จะชะลอลง การส่งออกโดยรวม และรายรับการท่องเที่ยวอาจถูกกระทบจากเศรษกิจคู่ค้าที่ชะลอตัว รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจะปรับลดลง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าและเงินเฟ้อของไทยชะลอลงจากปัจจัยด้านอุปทาน
“เงินเฟ้อต้องปรับลดลงตามราคาน้ำมันที่ปรับลดลง โดยเงินเฟ้อมาจากอุปทานเป็นหลัก ซึ่งแรงกดดันในอุปทานที่ผ่านมายังไม่กระทบมาก จะเห็นว่าเงินเฟ้อออกมาใกล้เคียง 1% และจะเริ่มเห็นผลอุปทานเข้ามา โดย ธปท.จะมีการทบทวนเงินเฟ้อระยะปานกลาง อย่างไรก็ดี เงินเฟ้อลดลงจากอุปทานจะเป็นผลบวกกับเศรษฐกิจ เพราะเราเป็นประเทศที่นำเข้าน้ำมัน แต่คำถามคือ เงินเฟ้อที่เกิดจากอุปทานจะอยู่กับเราแค่ไหน”
ทั้งนี้ นโยบายการค้าโลกที่เปลี่ยนไป ถือเป็นปัจจัยที่จะเปลี่ยนโครงสร้างของเศรษฐกิจไทยและโลกอย่างถาวร ทำให้ต้องเร่งปรับตัว โดยในระยะสั้น นอกจากเรื่องการเร่งเจรจากับสหรัฐ ไทยควรมีมาตรการรับมือ ทั้งการแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศ และป้องกันการนำเข้าสินค้ามาเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐผ่านไทย (Transshipment)
เช่น กำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้าและความคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศ การเร่งรัดกระบวนการไต่สวน (AD/CVD และ AC) ข้อพิพาทกับต่างประเทศ การเข้มงวดกับการตรวจสอบสินค้าส่งออกไปสหรัฐ ป้องกันการสวมสิทธิจากประเทศที่สาม เป็นต้น
ในระยะยาว ไทยควรขยายตลาดและเสริมสร้าง Supply Chain โดยเฉพาะกับประเทศในภูมิภาค และต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อให้แข่งขันในห่วงโซ่อุปทานของโลกได้ เช่น ยกระดับภาคการผลิตและภาคบริการที่ไทยมีศักยภาพ เช่น สินค้าเกษตรแปรรูป อาหาร การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ โดยเฉพาะการวิจัยและนวัตกรรม ทักษะแรงงาน และการปรับปรุงกฎระเบียบที่เป็นอุปสรรค
“ช็อกที่เกิดขึ้นกับภาคการผลิต และการส่งออกเป็นหลัก โดยนโยบายที่ตอบโจทย์ คือการลดลงต้นทุนการผลิต โดยนโยบายการเงินและการคลังจะเข้ามาช่วยดูแลระยะสั้น ไม่ได้บอกว่าไม่มี แต่การแก้ปัญหา คือการปรับโครงสร้างการผลิต”