TTB กำไรไตรมาสแรก 5,096 ล้าน เพิ่มขึ้น 2% ขาดทุนรถยึดลดลง

ปิติ ตัณฑเกษม
ปิติ ตัณฑเกษม

TTB กำไรไตรมาสแรก 5,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาส 4/67 หลังบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 7% ตั้งสำรองลดลง 2% เหตุผลขาดทุนจากรถยึดลดลง และช่วยลูกค้าผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ลุยเดินหน้าปั้น ROE ระยะกลางที่ 10%

นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) รายงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า ในไตรมาส 1/2568 ทีทีบีมีกำไรสุทธิ 5,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) แต่ลดลง 5.2% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) ซึ่งเทียบเป็นอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 8.6% ค่อนข้างทรงตัวจากไตรมาส 4/2567 ที่ 8.4% แต่ลดลงเมื่อเทียบกับ 9.4% เทียบจากไตรมาส 1/2567

ทั้งนี้การเติบโต QOQ ได้แรงหนุนโดยการควบคมต้นทุนทางการเงินที่ดี การบริหารต้นทุนในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดต้นทุนด้านความเสี่ยง

สำหรับส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ย (NIM) ในไตรมาส 1/2568 ยังคงระดับได้ที่ 3.19% แต่ลดลง 6 bps จาก 3.25% ในไตรมาส 4/2567 เทียบกับกรอบเป้าหมายที่ 3.10-3.25% ถือว่าการบริหารต้นทุนทางการเงิน และการบริหารสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดผลกระทบของการลดลงของ NIM จากดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลงเร็วกว่าที่คาด

ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน ลดลง 7% QOQ ส่งผลให้อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ (C/I) ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 43% ในไตรมาส 1/2568 จาก 44% ในไตรมาส 4/2567 สะท้อนให้เห็นผลของการปรับโมเดลธุรกิจสู่ Digital-first การมีวินัยด้านค่าใช่จ่าย และการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน

คุณภาพสินทรัพย์อยู่ในเกณฑ์ควบคุม ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองลดลง 2% QOQ มาอยู่ที่ 4,580 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อสินเชื่อที่ 152 bps โดยปัจจัยหลักมาจากอัตราการเกิดของหนี้เสียและผลขาดทุนจากรถยึดที่ลดลง และส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการช่วยลูกค้าผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย”

ADVERTISMENT

ในขณะที่อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL ratio) เพิ่มขึ้นอยู่ที่ 2.75% จากยอดการตัดหนี้สูญที่ลดลงตามแผนการบริหารจัดการหนี้เสีย แต่ยังคงอยู่ในกรอบเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ต่ำกว่า 2.9% ทั้งนี้ธนาคารยังคงเข้มงวดในการบริหารจัดการความเสี่ยงและเสริมความแข็งแกร่งให้กับกันชนป้องกันความเสี่ยงผ่านการตั้ง Management Overlay ส่งผลให้อัตราส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 150%

สำหรับกลยุทธ์หลักของธนาคารที่หนุนผลการดำเนินการด้านการเงิน ได้แก่ 1.การรักษาคุณภาพของพอร์ตสินทรัพย์ โดยยังคงมุ่งมั่นการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ซึ่งรวมถึงการให้ความช่วยเหลือลูกค้าเพื่อสร้างสุขภาพทางการเงินที่ดีผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” และโครงการ “รวบหนี้”

2.การดำเนินการตามแผนการปรับปรุงองค์กร (Transformation) เพื่อเพิ่มช่องทางการสร้างรายได้รูปแบบใหม่ ปรับปรุงโครสร้างต้นทุนการดำเนินงาน และเปลี่ยนแปลงองค์กรไปสู่การเป็น Humanized Digital Banking

และ 3.การเพิ่มมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ผ่านการบริหารจัดการพอร์ตสินทรัพย์และหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ และการดำเนินการตามแผบริหารส่วนทุน

“ภายใต้ภาวะที่ยังคงมีความท้าทายในการเติบโตสินชื่อ ทีทีบีจะยังคงคงมุ่งเน้นการดำเนินการตามแผนบริหารจัดการส่วนทุน ทั้งนี้ด้วยฐานะเงินกองทุนที่มีความที่มีแข็งแกร่งและสภาพคล่องที่อยู่ในระดับสูง จึงยังคงยึดเป้าหมายในการส่งมอบผลตอบแทนกลับคืนสู่ผู้ถือหุ้นอย่างยั่งยืน ควบคู่กับการมุ่งเป้าหมาย ROE ระยะกลางที่ 10%”

นายปิติกล่าวอีกว่า ทีทีบีเน้นย้ำการเติบโตสินเชื่อย่างมีคุณภาพท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เพื่อรักษาคุณภาพสินทรัพย์ ธนาคารยังคงเน้นย้ำการเติบโตสินเชื่ออย่างระมัดระวังไปยังกลุ่มเป้าหมายอย่างสินเชื่อรายย่อย

ขณะเดียวกันก็ยังคงใช้การหมุนเวียนสภาพคล่องสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนต่ำไปใช้เติบโตที่สินเชื่อรายย่อยกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนเมื่อเทียบกับความเสี่ยงที่ดีกว่า ส่งผลให้สินเชื่อกลุ่มดังกล่าวยังคงเติบโตต่อเนื่อง เช่น สินเชื่อบ้านแลกเงิน เพิ่มขึ้น 2% YTD สินเชื่อเล่มแลกเงิน เพิ่มขึ้น 11% ด้านสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค (Consumer Loan) ชะลอลงเมื่อเทียบกับ high season ในไตรมาส 4/2567 ขณะที่สินเชื่อรถแลกเงินชะลอลงตามการลดลงของยอดปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ

ด้านบริหารจัดการปริมาณเงินฝากและสินเชื่อให้สอดคล้องกัน เพื่อบริหารต้นทุนทางการเงินและรักษาอัตรากำไร เพื่อรับกับกับทิศทางดอกเบี้ยขาลง ธนาคารบริหารจัดการปริมาณเงินฝากและสินเชื่อให้สอดคล้องกัน ควบคู่กับการปรับ duration ของเงินฝาก โดยสัดส่วนเงินฝากประจำระยะยากและเพิ่มสัดส่วนเงินฝากประจำที่ระยะสั้นลง เพื่อให้โครงสร้างเงินฝากมีความยืดหยุ่น

ทั้งนี้เงินฝากประจำลดลง 2% ตามการลดลงของเงินฝากประจำระยะยาว ด้านเงินฝาก No-Fixed ลดลง 3% และ ME ลดลง 2% ในส่วนของเงินฝากต้นทุนต่ำ กลุ่มเงินฝาก CASA ลดลง 2% จากการลดลงของเงินฝากกระแสรายวันลูกค้าธุรกิจ ขณะที่เงินฝากเงินฝากออมทรัพย์ค่อนข้างทรงตัว โดย all free ซึ่งเป็น flagship product ยังคงขขยายตัวได้ดีที่ 4%