
คลังตั้งรับวิกฤตเศรษฐกิจโลก-การค้าโลกหดตัว ตุนกระสุนเดินแผนขยายเพดานหนี้เกิน 70% ต่อจีดีพี หวังใช้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน หนุนจ้างงานในประเทศ ชดเชยภาคส่งออกหดตัว กระทบจ้างงานภาคการผลิต พร้อมทบทวนมาตรการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต ฉวยจังหวะ “จัดทัพ-แก้ปัญหา” ภายในประเทศ ถกแบงก์ชาติ เตรียมมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ด้านสภาพัฒน์นัดถกสำนักงบฯ ปรับแผนงบประมาณ ธปท.ประเมินช็อกใหญ่-ช็อกยาวนาน คาดฉุดจีดีพีไทยต่ำกว่า 2.5% จับตาความเสี่ยงใหญ่ส่งออกหดตัว กระทบเลิกจ้าง-เสี่ยงผิดนัดชำระหนี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรียกหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนที่มีส่วนเกี่ยวข้องและได้รับผลกระทบมาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ประชุมก่อนนำทีมเดินทางไปสหรัฐอเมริการะหว่างวันที่ 19-25 เมษายนนี้ โดยมีการนัดหมายเจรจากับทางการของสหรัฐในวันที่ 23 เมษายนนี้
ตั้งรับวิกฤตเศรษฐกิจ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวว่า ผลจากมาตรการภาษีของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ย่อมส่งผลเศรษฐกิจโลกหดตัว กำลังซื้อทั่วโลกลดลง ทั้งนี้ แม้ว่าประเทศไทยจะสามารถเจรจากับสหรัฐสำเร็จ แต่ก็จะยังมีบางประเทศที่ไม่สำเร็จ และเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนไป การค้าโลกที่ลดลงจะส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกของไทย รวมถึงซัพพลายเชนผู้ผลิตที่อาจต้องลดกำลังการผลิต ทำให้ไม่มีการจ้างงานเหล่านี้เป็นปัญหาที่จะตามมารัฐบาลต้องเตรียมพร้อมรับมือกับเศรษฐกิจที่จะวิกฤตมากหรือน้อย
ดังนั้น ทำให้ต้องพิจารณาขยับเพดานหนี้สาธารณะจากปัจจุบันอยู่ที่ 70% ต่อจีดีพี อย่างไรก็ดี หากกระทรวงการคลังขยายเพดานหนี้สาธารณะ สิ่งสำคัญคือการตัดสินใจนำเงินไปลงทุนอะไร ต้องเป็นโครงการที่เป็นประโยชน์อย่างคุ้มค่า และสร้างอนาคตให้กับประเทศ ต้องเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อให้เกิดการจ้างงาน เพื่อรับมือปัญหาจากเศรษฐกิจโลก การค้าโลกที่ลดลง และถือโอกาสในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ อีกประเด็นคือประเทศไทยยังมีความสามารถการชำระหนี้ และเพดานหนี้ระดับ 70% ก็ไม่สูงเมื่อเทียบกับต่างประเทศ
ทบทวนดิจิทัลวอลเลต
นายพิชัยกล่าวว่า เมื่อการค้าโลกหดตัว ภาคส่งออกของไทยจะมีปัญหาใหญ่ ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำแน่ ๆ รัฐบาลก็ต้องเตรียมตัวลงทุนโครงสร้างพื้นฐานช่วยตัวเอง ลงทุนให้เกิดการจ้างงานในประเทศ ซึ่งจากกรอบเจรจากับสหรัฐ ได้วางยุทธศาสตร์ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางผลิตและแปรรูปอาหารเพื่อส่งออก ดังนั้น เพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ดังกล่าว ส่วนตัวก็มองว่าลงทุนโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรถือว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ควรลงทุน ซึ่งมีการพูดกันมานานแต่ก็ยังไม่เกิดขึ้น
ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างโครงการดิจิทัลวอลเลต (แจกเงิน 10,000) ก็ต้องทบทวนใหม่ เนื่องจากสถานการณ์เปลี่ยนไป
แก้ปมทางผ่านสินค้าจีน
นายพิชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ วิกฤตที่เกิดขึ้นก็ถือเป็นโอกาสในการจัดทัพอย่างจริงจัง จัดการปัญหาต่าง ๆ ของประเทศ เนื่องจากการส่งออกของไทยที่ผ่านมามีประเด็นปัญหาที่สินค้าจีนใช้ไทยเป็นทางผ่านในการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ทำให้ประเทศไทยต้องเร่งแก้ปัญหาเรื่องการเข้มงวดเรื่องการออกใบแหล่งกำเนิดสินค้า ไม่ให้เกิดการสวมสิทธิ์โดยที่ผ่านมาได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยแล้ว ทั้งกรมศุลกากร กรมการค้าต่างประเทศ เพื่อดำเนินการเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้าอย่างจริง ไม่ให้เกิดการสวมสิทธิ์ส่งไปสหรัฐ อย่างเช่นยางรถยนต์
นอกจากนี้ ในส่วนของการที่บริษัทจีนย้ายฐานมาลงทุนในประเทศไทยจำนวนมาก ก็เป็นอีกประเด็นที่ต้องทบทวน โดยได้สั่งการทางบีโอไอ (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) ไปแล้ว ต่อไปการส่งเสริมการลงทุนต้องเลือก ต้องมีเกณฑ์ และบรรทัดฐานให้ชัดเจนว่าเข้ามาผลิตอะไร ใช้เทคโนโลยีอะไร ผลิตแล้วขายใคร ตลาดอยู่ที่ไหน ประเทศอะไร เพื่อบาลานซ์ ไม่ใช่มองเรื่องเงินลงทุนอย่างเดียว
เตรียมมาตรการช่วยผู้ส่งออก
นายพิชัยได้แถลงหลังหารือกับนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อ 16 เมษายนที่ผ่านมา ว่าคลังกับ ธปท.ต้องมาพูดคุยกัน ว่าผลจากมาตรการภาษีสหรัฐจะมีกรณีใดเกิดขึ้นกับประเทศไทยได้บ้าง ซึ่งจะกระทบกับภาคธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะผู้ส่งออก จึงต้องหามาตรการและวางแนวทางในการรับมือกรณีที่ร้ายแรงด้วย ซึ่งการส่งออกจะชะลอลง และผู้ประกอบการคงมีปัญหาเรื่องเงินทุนหมุนเวียน และหนี้ที่ครบกำหนดชำระ ปัญหาที่ตรงกันคือเรื่องของสภาพคล่อง
อย่างไรก็ดี คลังกับ ธปท.เห็นตรงกันว่ายังไม่สามารถหามาตรการที่เป็นข้อสรุปเพื่อรับมือได้ เนื่องจากยังไม่มีใครสรุปได้ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ดังนั้น ต้องดูผลกระทบในวงกว้างต่อเนื่อง
“หลังจากนี้คลังและ ธปท.จะทำงานใกล้ชิด แลกเปลี่ยนข้อมูลกันให้มากขึ้น หากมีอะไรที่กระทบต่อตลาดเงินตลาดทุน ก็จะร่วมกันหามาตรการเพื่อรับมือ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะกรณีการค้าไทยกับสหรัฐ แต่ดูถึงประเทศอื่น ๆ ที่เป็นคู่ค้ากับสหรัฐด้วย ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบโดยอ้อมกับไทย”
สำหรับแนวทางการดูแลผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบนั้น รัฐบาลได้เตรียมมาตรการช่วยเหลือสภาพคล่องกับผู้ประกอบการทั้งส่งออกและนำเข้า ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมรายละเอียดและจะออกมาตรการทันที เมื่อผลกระทบเกิดขึ้นอย่างชัดเจนแล้ว
นายพิชัยกล่าวว่า เรื่องของมาตรการด้านการเงินจะเป็นหน้าที่ของ ธปท.ที่จะบริหารจัดการเรื่องนี้ ซึ่งต้องเกาะติดสถานการณ์อยู่แล้ว รวมถึงเรื่องดอกเบี้ยก็เป็นหน้าที่ของ ธปท.ที่จะดูแล ซึ่งต้องรอผลการประชุม กนง.ในวันที่ 30 เม.ย.นี้
ตุน “กระสุน” รับมือวิกฤต
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่าระหว่างวันที่ 19-25 เม.ย.นี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง จะเดินทางไปสหรัฐ โดยนำทีมไปเปิดการเจรจากับทางการของสหรัฐ รวมทั้งพบปะหารือกับภาคธุรกิจเอกชนทั้งไทยและสหรัฐ เพื่อฟังเสียงสะท้อนต่าง ๆ ที่เป็นผลจากนโยบายภาษีตอบโต้ของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์
โดยขณะนี้การประเมินผลกระทบต่าง ๆ ยังไม่ชัดเจน เพราะต้องรอผลการเจรจาเบื้องต้นกับสหรัฐก่อน ซึ่งการเจรจามีหลายสูตร ตั้งแต่ง่ายไปยาก โดยง่ายสุดก็คือการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ อาทิ ข้าวโพด ถั่วเหลือง เนื้อสัตว์ ก๊าซ LNG เป็นต้น ขณะที่ขั้นต่อไปก็จะเป็นเรื่องการลดภาษีนำเข้า หรือมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษีต่าง ๆ และที่ยากสุดคือลดการพึ่งพาจีน และไม่ให้สินค้าจีนมาสวมสิทธิ์ผลิตแล้วส่งออกไปสหรัฐ อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ก็ต้องติดตามด้วยว่าจีนกับสหรัฐจะเจรจากันออกมาอย่างไรด้วย
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในแง่ของการดูแลผลกระทบเศรษฐกิจไทย ขณะนี้กระทรวงการคลังก็มีการพิจารณาเตรียม “หากระสุน” ไว้รับมือผลกระทบ อย่างเช่น การขยายเพดานหนี้สาธารณะ จากปัจจุบันกำหนดไว้ว่าต้องไม่เกิน 70% ต่อจีดีพี ขณะเดียวกัน ก็ต้องอาศัยนโยบายการเงินด้วย ตรงนี้ขึ้นกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย
ทั้งนี้ ข้อมูล ณ สิ้นเดือน ก.พ. 2568 ประเทศไทยมีหนี้สาธารณะอยู่ที่ระดับ 64.21% ต่อจีดีพี
สศช.ถกจัดงบฯ ดูแลเศรษฐกิจ
ด้านนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า สศช.จะมีการประชุมหารือร่วมกับสำนักงบประมาณ เพื่อเตรียมการด้านงบประมาณเอาไว้รองรับการดูแลเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้ ซึ่ง สศช.ประเมินไว้ตั้งแต่ต้นแล้วว่า ช่วงครึ่งปีหลังเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวัง เพราะผลกระทบต่าง ๆ จะออกมาชัดเจนขึ้น
“การเตรียมการก็คงต้องดูทั้งงบประมาณปี 2568 รวมไปถึงงบประมาณปี 2569 ที่ตอนนี้ยังไม่ออกมาด้วยว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งต้องไปดูข้อมูลรายละเอียดก่อน”
ธปท.จีดีพีไทยโตต่ำ 2.5%
ขณะที่นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบมาตรการภาษีตอบโต้ของสหรัฐรอบนี้เป็น Shock ที่มีความลึกในบางเซ็กเตอร์ ไม่เหมือนช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกลดลง 0.5-1% แต่โควิด-19 กระทบเศรษฐกิจโลก 2-3% และย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยปรับลดลงแน่นอน แต่ผลของการขึ้นภาษีจะมาในช่วงครึ่งหลังของปี ซึ่ง ธปท.ต้องรอดูพัฒนาการหลังจาก 90 วัน ซึ่งตัวเลขผลกระทบไม่น้อย แต่ไม่แรงเท่าโควิด-19 ขึ้นอยู่กับผลการเจรจา
“ธปท.จะมีการนำข้อมูลต่าง ๆ ที่ได้มาเข้ามาพิจารณาในที่ประชุม กนง.ในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ทั้งจีดีพี เงินเฟ้อ และตัวเลขส่งออก ซึ่งในแง่ของเศรษฐกิจต้องยอมรับว่าความเสี่ยงสูงขึ้น ตัวเลขจีดีพีน่าจะต่ำกว่า 2.5% แน่ ๆ”
ธุรกิจเบรกแผนลงทุน-ผลิต
นายสักกะภพกล่าวว่า ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลกเป็นช็อกที่ใหญ่และใช้เวลานาน ซึ่งจะส่งผลกระทบกับไทยในหลายช่องทาง โดยความรุนแรงของผลกระทบจะขึ้นกับภาษีที่ไทยถูกจัดเก็บเทียบกับประเทศคู่ค้า และการตอบโต้ระหว่างประเทศเศรษฐกิจหลักและสหรัฐ ซึ่งผลต่อเศรษฐกิจการเงินไทยจะมีผ่าน 5 ช่องทางหลักคือ 1.ราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินโลกและไทยผันผวนมากขึ้น ขณะที่ต้องติดตามผลจากภาวะการเงินต่อธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก Tariff อย่างใกล้ชิด
2.การลงทุน ความไม่แน่นอนที่ยังสูงต่อเนื่อง ทำให้การตัดสินใจทางธุรกิจและการลงทุนชะลอออกไป โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมที่ส่งออกไปสหรัฐเป็นหลัก (อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องจักร และยานยนต์) ซึ่งเริ่มเห็นผลดังกล่าวบ้างแล้ว
จากการหารือกับผู้ประกอบการในกลุ่มดังกล่าว 18 ราย พบว่าบางส่วนมีการชะลอการผลิตและการลงทุน เพื่อรอดูความชัดเจนหลัง 90 วันว่าจะเจอภาษีเท่าไร หากไทยถูกเก็บภาษีในอัตราที่สูงกว่าประเทศอื่นอาจเห็นการย้ายฐานการผลิตออกจากไทย
ส่งออกหดตัวซ้ำเติมผู้ผลิต
3.การส่งออกและการค้าโลกที่ลดลง แต่ยังมีความไม่แน่นอน เพราะมีการชะลอการบังคับใช้ Reciprocal Tariffs ออกไป 90 วัน จึงคาดว่าจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นช่วงครึ่งหลังของปีเป็นต้นไป โดยการส่งออกไทยไปสหรัฐคิดเป็น 18% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และคิดเป็น 2.2% ของจีดีพี โดยเซ็กเตอร์หลัก ๆ ที่จะได้รับผลกระทบ ได้แก่ ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป รวมถึงสินค้าไทยที่อยู่ใน Supply Chain ของโลกที่ผลิตเพื่อส่งออกไปสหรัฐด้วย
4.สินค้าไทยจะต้องเผชิญกับการแข่งขันรุนแรงกับประเทศอื่น ๆ ที่ส่งออกไปสหรัฐได้น้อยลง และหันมาส่งออกไปยังตลาดเดียวกับไทย รวมถึงส่งมาไทย โดยเฉพาะหมวดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โลหะ เครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า และเคมีภัณฑ์ ซึ่งจะซ้ำเติมปัญหาในภาคการผลิตที่มีอยู่เดิม
5.เศรษฐกิจโลกจะชะลอลง การส่งออกโดยรวม และรายรับการท่องเที่ยวอาจถูกกระทบจากเศรษฐกิจคู่ค้าที่ชะลอตัว รวมทั้งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกจะปรับลดลง ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าและเงินเฟ้อของไทยชะลอลงจากปัจจัยด้านอุปทาน
จับตาเลิกจ้าง-ผิดนัดจ่ายหนี้
นายสักกะภพกล่าวว่า ธปท.จะติดตามสถานการณ์ภาพรวมอย่างใกล้ชิด และจับตาโอกาสที่อาจเกิดดิสรัปชั่นในเซ็กเตอร์สำคัญที่ส่งออกไปสหรัฐ รวมถึงการเข้ามาแข่งขันของสินค้านำเข้า โดยจะติดตามข้อมูลเร็วด้าน 1.การค้า เช่น ธุรกรรมการส่งออกและนำเข้า 2.การผลิตและการจ้างงาน เช่น การแจ้งหยุดกิจการชั่วคราว 3.ภาวะการเงิน เช่น ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ และต้นทุนการกู้ยืมผ่านหุ้นกู้ภาคเอกชน และ 4.Sentiment การลงทุน เช่น การขออนุมัติส่งเสริมการลงทุนและการขอขยายเวลาการออกบัตร เพื่อเลื่อนการลงทุนออกไป
นอกจากนี้ ธปท.จะดูแลการทำงานของกลไกตลาดต่าง ๆ ให้ดำเนินเป็นปกติอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งดูแลความผันผวนในตลาดการเงินที่สูงกว่าปกติในช่วงนี้ เพื่อลดผลกระทบต่อการปรับตัวของภาคเศรษฐกิจจริง
“ช็อกที่เกิดขึ้นกับภาคการผลิตและการส่งออกเป็นหลัก โดยนโยบายที่ตอบโจทย์คือ การลดลงต้นทุนการผลิตโดยนโยบายการเงินและการคลังจะเข้ามาช่วยดูแลระยะสั้น ไม่ได้บอกว่าไม่มี แต่การแก้ปัญหา คือการปรับโครงสร้างการผลิต”