จับตาการเจรจาการค้า รับมือวิกฤตภาษีทรัมป์

โดนัลด์ ทรัมป์ ภาพโดย REUTERS/Kevin Lamarque
โดนัลด์ ทรัมป์ ภาพโดย REUTERS/Kevin Lamarque

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 16-18 เมษายน 2568

ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันพุธ (16/4) ที่ระดับ 34.43/45 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (11/4) ที่ระดับ 33.52/55 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในทิศทางแข็งค่าตามการปรับขึ้นของราคาทองคำโดยทำจุดสูงสุดใหม่ จากความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 โดยนักลงทุนยังคงจับตามาตรการภาษีของสหรัฐ เนื่องจากเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (11/4) ทำเนียบขาวได้ประกาศยกเว้นภาษีสำหรับสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางรายการที่นำเข้าจากจีน

อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวว่า การยกเว้นภาษีเหล่านี้จะเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ เอกสารของรัฐบาลกลางสหรัฐ (Federal Register) ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (14/4) ระบุว่า รัฐบาลสหรัฐได้เริ่มกระบวนการสอบสวนการนำเข้ายาและเซมิคอนดักเตอร์แล้ว เพื่อหาลู่ทางในการใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าทั้งสองประเภทนี้ สำหรับสุนทรพจน์ของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในงานเสวนาว่าด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ

ซึ่งจัดโดยสมาคมเศรษฐกิจแห่งชิคาโกในวันพุธ (16/4) นั้น นายพาวเวลล์ แสดงความกังวลต่อความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งอาจทำให้เฟดตกที่นั่งลำบากระหว่างการใช้นโยบายควบคุมเงินเฟ้อและการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยภารกิจหลักสองประการของเฟดคือการรักษาเสถียรภาพของราคา และการทำให้การจ้างงานเต็มศักยภาพ

ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่าการเรียกเก็บภาษีของ ปธน.ทรัมป์ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายทั้งสองประการของเฟด สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจ สมาคมนายธนาคารเพื่อการจำนอง (MBA) ของสหรัฐ เปิดเผยว่า จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองร่วงลง 8.5% ในสัปดาห์ที่แล้ว หลังอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองปรับตัวขึ้น ขณะที่กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 1.4% ในเดือน มี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.2% หลังจากเพิ่มขึ้นเพียง 0.2% ในเดือน ก.พ. เมื่อเทียบรายปี ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 4.6% ในเดือน มี.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 3.5% ในเดือน ก.พ.

สำหรับปัจจัยในประเทศช่วงนี้ ตลาดรอติดตามท่าทีของรัฐบาลในการเจรจาากรค้าระหว่างไทยกับสหรัฐ เพื่อประเมินโอกาสที่สหรัฐอาจปรับลดอัตราภาษีนำเข้าให้กับสินค้าไทยหลังครบกำหนดการระงับมาตรการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) เป็นเวลา 90 วัน

ADVERTISMENT

ทั้งนี้ นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า จากมาตรการภาษีของสหรัฐ รวมถึงการตอบโต้ของประเทศเศรษฐกิจหลัก จะส่งผลต่อภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจ การเงิน และการค้าโลกอย่างมีนัย โดยคาดว่าสถานการณ์จะยืดเยื้อ ทำให้มีผลกระทบส่งผ่านมายังเศรษฐกิจไทยในหลายช่องทาง

ทั้งนี้ การเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทยในอัตรา 36% ของสหรัฐ มีผลให้ต้องปรับลดประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปีนี้ จากปัจจุบันคาดการณ์ไว้ที่ 2.5% โดยเชื่อว่าจะเหลือต่ำกว่า 2.5% อย่างแน่นอน ซึ่งจะเห็นผลกระทบชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 33.06-33.58 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (18/4) ที่ระดับ 33.44/46 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับปัจจัยในภูมิภาค สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ยอดส่งออกเดือน มี.ค.พุ่งขึ้น 12.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งที่สุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2567 เนื่องจากภาคธุรกิจของจีนพากันเร่งส่งออกสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสหรัฐเก็บภาษีศุลกากร

ขณะที่ยอดนำเข้าในเดือน มี.ค.ปรับตัวลง 4.3% เมื่อเทีบรายปี ซึ่งเป็นการลดลงอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางอุปสงค์ภายในประเทศที่ยังคงอ่อนแอ ส่วนยอดเกินดุลการค้าของจีนในเดือน มี.ค.อยู่ที่ 1.0264 แสนล้านดอลลาร์ ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือน ธ.ค. 2567 ซึ่งอยู่ที่ 1.048 แสนล้านดอลลาร์ โดยในรายงานของ NBS ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (14/4) ยังระบุด้วยว่า จีนส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐ เพิ่มขึ้น 9.1% ในเดือน มี.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี และนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ ลดลง 9.5%

โดยสหรัฐยังคงเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของจีน หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของการค้าโดยรวมของจีน ขณะที่ยอดส่งออกจากจีนไปยังกลุ่มอาเซียนพุ่งขึ้น 11.6% ในเดือน มี.ค. นำโดยการส่งออกไปยังเวียดนามที่พุ่งขึ้นแข็งแกร่งเกือบ 19% ขณะที่ยอดการนำเข้าจากกลุ่มอาเซียน เพิ่มขึ้น 9.8% นอกจากนี้จีนส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (EU) เพิ่มขึ้น 10.3% ในเดือน มี.ค. ขณะที่นำเข้าจาก EU ลดลง 7.5%

สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจอื่น สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ขยายตัว 5.4% ในไตรมาส 1/2568 เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากอัตราการขยายตัวในไตรมาส 4/2567 และแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวราว 5.1-5.2% เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 1 ได้รับปัจจัยหนุนจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการที่รัฐบาลสหรัฐประกาศใช้มาตรการภาษีศุลกากรกับประเทศต่าง ๆ ซึ่งรวมถึงจีน ที่ถูกเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าสูงสุดในอัตรา 145%

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดวันพุธ (16/4) ที่ระดับ 1.1322/25 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (11/4) ที่ระดับ 1.1353/55 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร สำหรับตัวเลขเศรษฐกิจ สำนักงานสถิติแห่งชาติเยอรมนีรายงานวันพฤหัสบดี (17/4) ว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมในเยอรมนีประจำเดือน มี.ค. ปรับตัวลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า พลิกกลับหลังจากที่เพิ่มขึ้น 0.7% ในเดือน ก.พ.

ตัวเลขดังกล่าวออกมาต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ได้คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4% และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI กลับลดลงถึง 0.7% หนักกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะลดลงเพียง 0.1% ในวันพฤหัสบดี (17/4) ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ตามการคาดการณ์ของตลาด และเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 7 นับตั้งแต่ ECB เริ่มวงจรการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย. 2567 โดยระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1263-1.1424 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (18/4) ที่ระดับ 1.1367/69 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับปัจจัยในภูมิภาค สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) รายงานในวันพุธ (16/4) ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค เพิ่มขึ้น 2.6% ในเดือน มี.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งชะลอตัวลงจากเดือน ก.พ.ที่ปรับตัวขึ้น 2.8% ดัชนี CPI เดือน มี.ค. ขยายตัวในอัตราต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2567 และต่ำกว่าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 2.7% ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่นับรวมราคาพลังงาน อาหาร เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และบุหรี่ ซึ่งเป็นหมวดสินค้าที่มีความผันผวนนั้น ปรับตัวขึ้น 3.4% ในเดือน มี.ค. ชะลอตัวลงเล็กน้อยจากเดือน ก.พ.ที่ปรับตัวขึ้น 3.5%

สำหรับเงินเฟ้อจากการบริการ ซึ่งเป็นข้อมูลที่ BoE จับตาอย่างใกล้ชิดเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อภายในประเทศนั้น อยู่ที่ระดับ 4.7% ในเดือน มี.ค. ลดลงจากระดับ 5% ในเดือน ก.พ. และต่ำกว่าที่ BOE คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 4.9% โดยการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อมีขึ้นก่อนที่ BOE จะประชุมนโยบายการเงินในวันที่ 8 พ.ค.นี้

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน ค่าเงินเยนเปิดตลาดวันพุธ (16/4) ที่ระดับ 142.84/85 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ขยับอ่อนค่าลงเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (11/4) ที่ระดับ 142.77/79 เยน/ดอลลาร์สหรัฐในช่วงวันพุธ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงเมื่อเทีบกับเงินเยน เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อเงินเยน ในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นระหว่างสหรัฐกับจีน

ขณะที่ทรัมป์ระบุบนโซเชียลมีเดียว่า เขารู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบกับคณะผู้แทนญี่ปุ่นด้านการค้าที่นำโดย เรียบเซอิ อากาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการหารือดังกล่าว แต่แหล่งข่าวเปิดเผยว่า อากาซาวะได้พบกับทรัมป์ก่อนการเจรจาระดับรัฐมนตรีระหว่างสองประเทศเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีของสหรัฐ

ทั้งนี้ในช่วงระหว่างสัปดาห์ค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 141.60-144.30 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (18/4) ที่ระดับ 142.37/38 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ