
สบน. ยันฐานะการคลังมีเสถียรภาพ ไม่มีความจำเป็นต้องขยายเพดานหนี้ ชี้หากรัฐบาลกู้เงินเกินเพดานหนี้ 70% ต้องออกกฎหมายรองรับ
นายพชร อนันตศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า กรณีนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีแนวคิดกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน หากทำให้หนี้สาธารณะเกินเพดาน 70% ของจีดีพี จะต้องมีกฎหมายใหม่รองรับตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 เช่น พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หรือพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อใช้เฉพาะในสถานการณ์ฉุกเฉิน ภัยพิบัติ หรือความมั่นคงทางเศรษฐกิจ โดยเงินกู้ต้องถูกใช้ในโครงการที่ชัดเจน ไม่สามารถสำรองไว้ใช้ในอนาคตได้
ปัจจุบันหนี้สาธารณะของไทยอยู่ที่ราว 64-65% ของจีดีพี หรือกว่า 12 ล้านล้านบาท และคาดว่าในปี 2569 จะเพิ่มเป็น 67.3% ภายใต้สมมติฐานจีดีพีโต 3% แม้เศรษฐกิจชะลอตัวและเติบโตเพียง 2% ก็ยังประเมินว่าหนี้จะไม่เกิน 68% ขณะที่การกู้เงินในปีงบฯ 2568 วงเงิน 865,700 ล้านบาท ยังคงอยู่ภายใต้แผนเดิม โดยเพดานหนี้ยังไม่เกิน 70% ซึ่งสะท้อนว่าฐานะการคลังของไทยยังแข็งแกร่ง ไม่มีสัญญาณอันตรายใด ๆ
“หากดูตามแผนการใช้เงินในขณะนี้ และดูสถานะการคลังประเทศในขณะนี้ สบน.มองว่าทุกอย่างยังมีเสถียรภาพ ไม่จำเป็นต้องขยายกรอบเพดานหนี้ด้วยซ้ำ แม้ใช้ฐานจีดีพีโตเพียง 2% ระดับหนี้ก็ยังอยู่ในกรอบไม่เกิน 70% ยกเว้นแต่ว่าจีดีพีไม่โตเลย” นายพชรกล่าว
นายพชรกล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยระบุว่า แม้สหรัฐเผชิญกับภาวะชะลอตัว ทำให้ดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 10 ปีพุ่งแตะ 4.45% และต้นทุนการกู้เงินของสหรัฐสูงขึ้น แต่กลับกลายเป็นปัจจัยดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติหันมาลงทุนในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะตลาดพันธบัตรไทย เนื่องจากดอกเบี้ยสหรัฐมีแนวโน้มปรับลด และดัชนีหุ้นไทยยังไม่สูงมาก
หลักฐานที่ชัดเจนคือการประมูลพันธบัตรรัฐบาลไทยที่มีความถี่สูง และได้รับความสนใจจากธนาคารพาณิชย์จำนวนมาก ซึ่งสะท้อนความเชื่อมั่นว่าพันธบัตรไทยมีความเสี่ยงต่ำ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มที่ธนาคารหันมาถือพันธบัตรมากขึ้นอาจส่งผลให้มีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบสินเชื่อลดลง เป็นอีกปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจในภาพรวม