
บาทแข็งค่า จับตาความคืบหน้าการเจรจาการค้าสหรัฐ และการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณแนวโน้มเศรษฐกิจต่อไป ก่อนที่เงินบาทจะปิดตลาดที่ระดับ 33.09/10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า สภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันจันทร์ที่ 21 เมษายน 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันนี้ (21/04) ที่ระดับ 33.17/19 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
โดยค่าเงินบาทแข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวนศุกร์ (18/04) ที่ระดับ 33.45/47 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยดัชนีดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าเทียบเงินสกุลหลักที่ระดับ 98.7 ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบาง เนื่องจากตลาดเงินในหลายประเทศปิดทำการเนื่องในวัน Good Friday และบางประเทศยังปิดทำการต่อเนื่องในวันนี้ เนื่องในเทศกาล Easter
ทั้งนี้ นักลงทุนรอติดตามความคืบหน้าการเจรจาการค้าสหรัฐ และการเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณแนวโน้มเศรษฐกิจต่อไป นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เรียกร้องให้พาวเวลล์เร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ย และขู่ว่าจะปลดพาวเวลล์ออกจากตำแหน่งหากไม่ยอมทำตามข้อเรียกร้องดังกล่าว
เฟดหวั่นนโยบายทรัมป์ดันเงินเฟ้อสูงขึ้น
นอกจากนี้ ปธน.ทรัมป์ยังได้แสดงความไม่พอใจที่พาวเวลล์กล่าวว่า มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของ ปธน.ทรัมป์จะทำให้เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจและตลาดแรงงานของสหรัฐ อย่างไรก็ดี พาวเวลล์ยืนยันว่า ปธน.ทรัมป์ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการปลดเขาออกจากตำแหน่ง ก่อนที่จะครบวาระการดำรงตำแหน่งประธานเฟดในเดือน พ.ค. 2569
พร้อมให้ความเห็นว่าการที่รัฐบาลสหรัฐตั้งกำแพงภาษีศุลกากรต่อประเทศต่าง ๆ ในอัตราที่สูงเกินคาดอาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นและถ่วงเศรษฐกิจลง พร้อมกล่าวว่านโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์อาจทำให้ภารกิจของเฟดเผชิญความท้าทายมาก
ทางด้านนายเอริก ลอมบาร์ด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังฝรั่งเศส ออกโรงเตือนว่า ความน่าเชื่อถือของสกุลเงินดอลลาร์จะตกอยู่ในความเสี่ยงมากขึ้น และเศรษฐกิจสหรัฐจะตกอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ปลดเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ออกจากตำแหน่ง
นอกจากนี้ ลอมบาร์ดให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ลา ทรีบูน ดีมองช์ (La Tribune Dimanche) ของฝรั่งเศสว่า ทรัมป์ทำลายความน่าเชื่อถือของสกุลเงินดอลลาร์มานานแล้วด้วยการใช้มาตรการภาษีศุลกากร และหากพาวเวลล์ถูกปลดออกจากตำแหน่งประธานเฟด ความน่าเชื่อถือนี้จะยิ่งเสียหายหนักขึ้น เพราะต้นทุนการชำระหนี้จะปรับตัวสูงขึ้น และจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเผชิญกับความปั่นป่วนอย่างรุนแรง
ซึ่งการแสดงความเห็นของลอมบาร์ดมีขึ้นหลังจากที่ ปธน.ทรัมป์แสดงความไม่พอใจที่พาวเวลล์ระมัดระวังการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
เงินบาทแข็งค่าสุดรอบกว่า 6 เดือน
ด้านปัจจัยภายในประเทศ ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบเกินครึ่งปี ตามการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของราคาทองคำ ซึ่งปรับตัวเหนือระดับ 3,390 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ในวันนี้ โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และบรรดาประเทศคู่ค้า
ทั้งนี้ค่าเงินบาทในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังได้รับปัจจัยบวกจากแรงซื้อบอนด์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ โดยสถานะพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติระหว่างวันที่ 16/18 เม.ย. 2568 นั้น นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทย 904 ล้านบาท แต่อยู่ในฝั่งซื้อสุทธิพันธบัตรไทยถึง 31,141 ล้านบาท
ทางด้านธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประเมินผลของสงครามการค้าต่อไทยว่าความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าสหรัฐจะอยู่ในระดับสูงและยืดเยื้อ โดยผลกระทบจะส่งผ่านช่องทางหลัก ได้แก่ ตลาดการเงินผันผวนสูง การตัดสินใจลงทุนชะลอดดกไป ส่งออกจะเริ่มเห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี สินค้าไทยจะเผชิญกับการแข่งขันรุนแรง และเศรษฐกิจโลกที่จะชะลอตัวลงจากปัจจัยด้านอุปทาน ความเห็นของทางการที่ว่าผลกระทบจะเกิดขึ้นในบางภาคส่วน (Sector) และการเน้นย้ำปัญหาด้านอุปทานดังกล่าวสะท้อนแนวคิดที่ว่ามาตรการที่ตรงจุดอาจมีประสิทธิผลในการแก้ไขปัญหามากกว่าการใช้เครื่องมือดอกเบี้ยนโยบาย
ทั้งนี้นักลงทุนรอติดตามรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) เดือนมีนาคม เพื่อประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทย เริ่มเผชิญผลกระทบจากนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐมากน้อยเพียงใด หลังในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ยอดการส่งออกเร่งตัวขึ้นและขยายตัวได้เกิน +10% เมื่อเทียบรายปี ตามการเร่งนำเข้าสินค้า จากความกังวลนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ
ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 33.08-33.24 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ 33.09/10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร เปิดตลาดเช้าวันนี้ (21/04) ที่ระดับ 1.1471/72 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (18/04) ที่ระดับ 1.137/38 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
โดยค่าเงินยูโรปรับตัวแตะจุดสูงสุดใหม่นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2022 บริเวณ 1.1485 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ในช่วงเช้าวันนี้ หลังจากดอลลาร์สหรัฐปรับตัวอ่อนค่าลงเทียบสกุลเงินหลัก ถึงแม้ว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ลดอัตราดอกเบี้ย 25bps เป็น 2.25% ตามคาดการณ์ของตลาดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (17/04) และเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 7 ในวัฏจักรนี้ โดยอีซีบีระบุว่าแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนถูกผลกระทบจากความตึงเครียดทางการค้าที่รุนแรงขึ้น
อย่างไรก็ดีในสัปดาห์นี้ นักลงทุนรอประเมินทิศทางนโยบายการเงินของทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOB) ผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของยูโรโซนและอังกฤษ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของอังกฤษ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนี (IFO Climate) พร้อมทั้งรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB และ BOE โดยนางคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB จะมีการกล่าวสุนทรพจน์ในวันอังคาร (22/04)
ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวกรอบระหว่าง 1.0804-1.0849 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดที่ระดับ 1.0827/28 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร
สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนเปิดตลาดเช้าวันนี้ (21/04) ที่ระดับ 141.16/17 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (18/04) ที่ระดับ 142.37/38 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ โดยนายชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยในวันนี้ (21/04) ว่า รัฐบาลจะให้ความสำคัญกับเนื้อหาของข้อตกลงในการเจรจาเรื่องภาษีกับทางสหรัฐมากกว่าความเร่งรีบในการเจรจาพร้อมให้คำมันว่าจะไม่ประนีประนอมง่าย ๆ ในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยรถยนต์และการค้าสินค้าเกษตร
นอกจากนี้ นายอิชิบะกล่าวต่อที่ประชุมรัฐสภาว่า ญี่ปุ่นต้องประสานงานอย่างใกล้ชิดกับประเทศอื่น ๆ รวมถึงกลุ่มประเศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากการเจรจาระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐจะกลายเป็นต้นแบบสำหรับประเทศอื่น ๆ ในช่วงที่จีนพยายามแสดงบทบาทผู้นำด้านการค้าเสรี
ทั้งนี้สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาญี่ปุ่นและสหรัฐ ได้เริ่มการเจรจาภาษีระดับรัฐมนตรี โดยนายเรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีฝ่ายกิจการฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ได้พบกับทรัมป์และเจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะบริหารที่กรุงวอชิงตัน และคาดว่าจะมีการเจรจารอบต่อไปกับฝ่ายสหรัฐ ภายในสิ้นเดือนนี้
นอกจากนี้นายคัตสึโนบุ คาโตะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น มีกำหนดพบนายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ ในประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ระหว่างการเดินทางเยือนสหรัฐ ชาติเพื่อเข้าร่วมการประชุมภาคฤดูใบไม้ผลิของธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในกรุงวอชิงตันช่วงปลายสัปดาห์นี้
ขณะเดียวกัน อิชิบะได้แสดงความเต็มใจที่จะเดินทางไปสหรัฐ เพื่อพบปะกับทรัมป์โดยตรง ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าของการเจรจาระดับรัฐมนตรีของทั้งสอง ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวในกรอบระหว่าง 140.48-142.14 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดที่ 140.64/65 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ
ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือน มี.ค. จาก Conference Board (21/04), ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้น และภาคบริการขั้นต้นเดือน เม.ย. (23/04), ยอดขายบ้านใหม่เดือน มี.ค. (23/04), รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) จากธนาคารกางสหรัฐ (เฟด) (24/04), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ (24/04), ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน มี.ค. (24/04), ดัชนีกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือน มี.ค. และยอดขายบ้านมือสองเดือน มี.ค. (24/04)
สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -7.2/-6.8 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยงภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -9.5/8.5 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ