ธนารักษ์ลุยปั๊มรายได้ ปรับค่าเช่า-ดึง AI ประเมินราคาที่ดิน

ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ
ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ

หากกล่าวถึง “กรมธนารักษ์” ที่ผ่านมา จะทำให้นึกถึงการบริหารจัดการที่ราชพัสดุ และการจัดทำเหรียญกษาปณ์ หรือเหรียญกษาปณ์ที่ระลึก รวมถึงการประกาศราคาประเมินที่ดินเป็นสำคัญ อย่างไรก็ดี ล่าสุด ภายใต้การนำทัพของ “ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ” อธิบดีกรมธนารักษ์คนปัจจุบัน ได้ประกาศ “พลิกบทบาท” ของกรม ก้าวสู่ “กรมเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน” โดยมุ่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม เดินหน้าประเทศสู่ความยั่งยืนในทุกมิติ

ภารกิจปั๊มรายได้เข้ารัฐ

“ดร.เอกนิติ” กล่าวว่า การขับเคลื่อนกรมจะดำเนินการภายใต้กลยุทธ์ “VALUE” เพื่อให้เกิดการนำทรัพย์สินของแผ่นดินที่กรมรับผิดชอบ ทั้งที่ราชพัสดุและเหรียญกษาปณ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม พร้อมยกระดับการทำงานด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ เพื่อช่วยจัดการวิเคราะห์ฐานข้อมูลให้มีประสิทธิภาพ สะดวก รวดเร็ว แม่นยำ และโปร่งใส

“เป้าการนำส่งรายได้ของกรมธนารักษ์ในปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น การจัดเก็บรายได้จากค่าเช่าที่ดินราชพัสดุเชิงพาณิชย์ 1.06 หมื่นล้านบาท ขณะนี้จัดเก็บได้แล้ว 9.8-9.9 พันล้านบาท และรายได้จากเหรียญกษาปณ์อีก 400 ล้านบาท

โดย 5 เดือนที่ผ่านมา (ต.ค. 67-ก.พ. 68) กรมธนารักษ์นำส่งรายได้สูงกว่าปีก่อน 13% และสูงกว่าเป้าหมายที่กระทรวงการคลังตั้งไว้ 9.2% จากการบริหารสัญญาค่าเช่าที่ดินราชพัสดุ”

ลุยปรับค่าเช่าที่ราชพัสดุ

ปัจจุบันมีที่ดินราชพัสดุ 12.6 ล้านไร่ โดยในส่วนนี้แบ่งเป็นพื้นที่ความมั่นคง 2.6 ล้านไร่ และอีก 10.48 ล้านไร่เป็นพื้นที่ที่ส่วนราชการครอบครอง ในส่วนนี้มีพื้นที่ประมาณ 1 ล้านไร่ที่ยังไม่มีการบริหารให้มีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ กรมธนารักษ์อยู่ระหว่างการทบทวนสัญญาเช่าที่ราชพัสดุ โดยเฉพาะเชิงพาณิชย์ที่กำลังจะหมดสัญญา จะมีการปรับขึ้นค่าเช่า เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากขึ้น ที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปแล้วกับ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จํากัด (มหาชน) (AOT) หรือ ทอท.

ADVERTISMENT

“กรมธนารักษ์ตั้งเป้าเพิ่มรายได้และอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ในส่วนของที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ให้สูงขึ้น 20% ภายในปี 2569 โดยมาจากการเพิ่มอัตราค่าเช่าที่ราชพัสดุเชิงพาณิชย์ที่สัญญาการเช่าจะครบกำหนด เนื่องจากที่ผ่านมามีการคิดอัตราค่าเช่าราคาเดิม และต่อสัญญาไปเรื่อย ๆ ไม่เคยปรับอัตราค่าเช่า ฉะนั้น กรมจะทบทวนสัญญาเหล่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน”

ประเมินราคาที่ดินใหม่

“ดร.เอกนิติ” กล่าวอีกว่า กรมตั้งเป้าที่จะลดความต่างระหว่างราคาประเมินที่ดินของกรมกับราคาตลาดให้เหลือไม่เกิน 15% ภายในปี 2569 โดยการเร่งประเมินให้สอดคล้องกับความเป็นจริงมากที่สุด ซึ่งเบื้องต้นจะนำเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เข้ามาช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน

ADVERTISMENT

รวมถึงจะมีการประสานข้อมูลกับสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากมีส่วนงานในการประเมินราคาสินทรัพย์และที่ดินด้วย ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลมีความแม่นยำมากขึ้น จากปัจจุบันต่างกันประมาณ 30-40%

ทั้งนี้ จะนำร่องใช้ AI และระบบเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเสริมกระบวนการประเมินราคาที่ดินในพื้นที่ต้นแบบ 2 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ และจังหวัดนครนายก โดยคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน ก.ย. 2568 หลังจากนั้นจะทยอยใช้ให้ครบทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

“เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนในการยื่นขอสินเชื่อที่จะได้วงเงินมากขึ้น นอกจากนี้ กรมจะพัฒนาระบบสืบค้นราคาประเมินที่ดินออนไลน์ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลราคาประเมินได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว”

ยกระดับพัฒนาเหรียญ

สำหรับภารกิจด้านเหรียญ “อธิบดีกรมธนารักษ์” กล่าวว่าจะมีการยกระดับการผลิตและจำหน่ายเหรียญกษาปณ์ให้เป็นมาตรฐานสากล และพัฒนาตลาดรองเพื่อเพิ่มมูลค่าเหรียญกษาปณ์ให้ตรงตามความต้องการของนักสะสมเหรียญ และนำแนวคิด ESG มาใช้ในกระบวนการผลิตเหรียญกษาปณ์

“ยอมรับว่าในปัจจุบันการใช้เหรียญลดลง และรายได้จากเหรียญก็ลดลงเรื่อย ๆ แต่ยังคงมีความจำเป็นอยู่ และยังมีความต้องการเหรียญสะสมในตลาดที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเหรียญไทยมีคุณค่าที่นักสะสมสนใจมาก แต่การซื้อขายในตลาดยังไม่เป็นที่แพร่หลาย แสดงให้เห็นถึงโอกาสในการพัฒนาตลาดเหรียญในประเทศไทย”

พิพิธภัณฑ์หนุนชุมชน

ขณะที่ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ธนารักษ์ จะบูรณาการร่วมกับชุมชน เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว เรียนรู้เชิงประวัติศาสตร์ และอนุรักษ์วัฒนธรรม รวมถึงส่งเสริมให้พิพิธภัณฑ์ของกรมสามารถช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุมชน ยกระดับคุณภาพชีวิตพี่น้องประชาชนในพื้นที่และละแวกใกล้เคียง

ยกตัวอย่าง พิพิธภัณฑ์ตลาดน้อย ที่ทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชนดีขึ้น มีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรม และทำให้ขายของได้มากขึ้น ซึ่งทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีคุณค่าในการอนุรักษ์ ช่วยให้เกิดเศรษฐกิจชุมชน

“ด้วยยุทธศาสตร์และกลยุทธ์ที่กรมธนารักษ์ตั้งใจจะขับเคลื่อนนี้ จะเป็นการวางรากฐานสำคัญในการเพิ่มมูลค่าและคุณค่าทรัพย์สินของแผ่นดิน เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ประชาชน ส่งเสริมสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม สร้างความยั่งยืนต่อไป” อธิบดีกรมธนารักษ์กล่าว