สำนักงบฯ เผยผลเบิกงบฯลงทุนปี’68 กว่า 6.2 แสนล้านบาท ทะลุเป้า 72%

ต่างชาติลงทุนในไทย
ภาพจาก Canva

สำนักงบประมาณ เผยผลเบิกจ่ายงบฯลงทุนปี 2568 ได้แล้วกว่า 6.2 แสนล้านบาท ทะลุเป้า 72.93% จากปีนี้ที่ 66% ดันเบิกจ่ายงบฯผูกพันรายการคงค้าง 3.5 หมื่นล้านบาทลงระบบเศรษฐกิจ ชี้แผนงบฯ 69 ยังเปลี่ยนแปลงคงเดิม

นายอนันต์ แก้วกำเนิด  ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เปิดเผยภายหลังการประชุมร่วมกับนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อติดตามเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณปี 2568 ว่า จากการเร่งรัดและติดตามการเบิกจ่ายงบประมาณของนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่อง โดยให้หน่วยงานต่าง ๆ มาชี้แจงว่า ใช้จ่ายเงินงบประมาณไปเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งผลการเบิกจ่ายงบประมาณในปี 2568 โดยเฉพาะงบประมาณในการลงทุนสูงสุดในรอบ 5 ปี โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณในส่วนของงบฯลงทุนที่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

โดยล่าสุดข้อมูลการเบิกจ่ายงบฯลงทุนพบว่า ณ วันที่ 30 มี.ค.ที่ผ่านมา พบว่าจากกรอบงบฯลงทุนวงเงินรวม 9.08 แสนล้านบาท สามารถเบิกจ่ายได้แล้วกว่า 72.93% สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 66% หรือคิดเป็นวงเงินที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณได้แล้วกว่า 6.2 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงกว่าช่วงเดียวกันในหลายปีงบประมาณที่ผ่านมา และสูงกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้

“การเบิกจ่ายงบฯลงทุนมีความเชื่อมโยงกับหลายส่วนของเศรษฐกิจ ซึ่งการที่เบิกจ่ายได้สูงกว่าเป้าหมายนั้นส่วนหนึ่งมาจากนายกฯได้ลงมาเร่งรัดเรื่องนี้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยเชิญส่วนราชการที่มีงบฯลงทุนที่มีจํานวนมาก มาชี้แจงมาดูว่าใครเบิกจ่าย มีปัญหาอุปสรรคอะไรบ้าง ก็ช่วยกันแก้ไขให้การใช้จ่ายเงินภาครัฐ เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ซึ่งส่งผลดีต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” นายอนันต์กล่าว

ทั้งนี้ สำหรับการผูกพันงบประมาณในช่วงที่เหลือของปีนี้จะมีใน 2 ส่วนคือการผูกพันงบประมาณโครงการใหม่วงเงินประมาณ 5.2 หมื่นล้านบาท โดยในส่วนนี้จะมีการเบิกจ่ายภายในงบประมาณนี้ประมาณ 15-20% อีกส่วนหนึ่งคือโครงการผูกพันงบประมาณที่มีการผูกพันไว้ตั้งแต่ปี 2567 วงเงินรวมประมาณ 3.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะเป็นงบประมาณอีกส่วนที่ลงมาช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลัง

นายอนันต์กล่าวถึงสถานการณ์การขึ้นภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จะกระทบกับการจัดทำงบประมาณปี 2569 และแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลหรือไม่ว่า ขณะนี้นโยบายของรัฐบาลยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไร และยังใช้สมมุติฐานเศรษฐกิจตามเดิม ส่วนในระยะต่อไปจะมีการปรับเปลี่ยนหรือไม่ คงต้องมีการประเมินอีกครั้ง

ADVERTISMENT