รู้จักสภาวะ Bear Market คืออะไร ทำไมต้องเปรียบเทียบกับ ‘หมี’

ทำความรู้จักหนึ่งในศัพท์เฉพาะของนักลงทุน “ตลาดหมี” หรือ Bear Market เป็นอย่างไร ทำไมถึงเปรียบเทียบกับสัตว์ และกลยุทธ์ที่นักลงทุนควรรู้  

คำศัพท์เฉพาะส่วนใหญ่มักจะใช้ในหมู่ผู้คร่ำหวอดในวงการใดวงการหนึ่งหรือชื่นชอบมากจนรู้ว่าศัพท์เฉพาะนี้มีความหมาย นิยาม และที่มาจากอะไร ไม่ว่าจะเป็นเหล่าแฟนนางงาม แฟนฟุตบอล หรือถ้าเป็นอาชีพอย่างแพทย์ นักกีฬา รวมถึงนักลงทุนที่ไม่ว่าจะเป็นตลาดทอง ตลาดหุ้น หรือคริปโตเคอร์เรนซีก็มีศัพท์เฉพาะที่ใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ให้เรียนรู้และเข้าใจ

วันนี้ ประชาชาติธุรกิจ พาไปทำความรู้จัก “ตลาดหมี” หรือ “Bear Market” หนึ่งในศัพท์เฉพาะที่น่าสนใจ

ตลาดหมี (Bear Market) หมายถึง ช่วงเวลาหนึ่งในตลาดการเงินที่ราคาหลักทรัพย์ เช่น หุ้นลดลงมากกว่า 20% จากจุดสูงสุดล่าสุดและยังคงอยู่ในแนวโน้มขาลงเป็นเวลานาน การลดลงนี้มักสะท้อนถึงความรู้สึกกังวลและความกลัวอย่างแพร่หลายในหมู่นักลงทุน ซึ่งมักเกิดจากความท้าทายทางเศรษฐกิจ เหตุการณ์ระดับโลก หรือสภาวะตลาดที่อ่อนแอ

คำ ๆ นี้มาจากสุภาษิตที่เตือนว่า “การขายผิวหนังหมีก่อนที่จะจับหมีได้” ไม่ใช่การกระทำที่ฉลาด ในศตวรรษที่ 18 คำว่า bearskin ถูกหยิบมาใช้ในวลีซื้อหรือขายหนังหมีในชื่อ bearskin jobber ที่หมายถึงผู้ขาย แต่ถูกย่อให้เรียกเร็วและง่ายว่า “Bear” เอาไว้ใช้กับสต็อกหุ้นที่ขายโดpนักเก็งกำไร

ซึ่งบางแนวคิดก็เปรียบเทียบทิศทางของกราฟเหมือนกับอากัปกิริยาของหมี เช่น กราฟในช่วงตลาดหมีจะมีทิศทางทิ้งตัวลงมาเปรียบกับอาการถูกตะปบของหมีอย่างรุนแรง หมายความว่า ความต้องการซื้อในตลาดช่วงนั้นลดลงมาก ประกอบกับความเชื่อมันของนักลงทุนที่น้อย ส่งผลให้ราคาหลักทรัพย์ในตลาดตกต่ำลง และนักลงทุนหลายคนก็ไม่กล้าที่จะเทรด

ADVERTISMENT

ซึ่งหากอยู่ในสภาวะนี้ แปลว่า นักลงทุนควรถือเงินสดให้มากกว่าสินทรัพย์เสี่ยง และมีความอดทนรอดูสถานการณ์จนกว่าตลาดจะฟื้นตัว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่เน้นป้องกันการขาดทุน

กลยุทธ์ลงทุนสู้กับหมี

อย่างไรก็ตามบทความของนิภาพันธ์ พูนเสถียรทรัพย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินเขียนถึงกลยุทธ์หนึ่งที่น่าสนใจกับการมองหาหุ้นในช่วงตลาดหมี คือ การลงทุนในหุ้นเน้นคุณค่า (Value Stock) ซึ่งเป็นแนวทางการลงทุนที่เน้นลงทุนในกิจการที่ผู้ลงทุนเชื่อว่ามีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน โดยการวิเคราะห์มูลค่าทางบัญชีหรือสัดส่วนทางการเงินแบบต่าง ๆ

ยกตัวอย่างเช่น มูลค่าหุ้นตามบัญชี (Book Value) สัดส่วนราคาหุ้นต่อกำไร (Price-to-Earning Ratios) สัดส่วนราคาหุ้นต่อมูลค่าตามบัญชี (Price-to-Book Ratios) หรือสัดส่วนเงินปันผล (Dividend Yields) ซึ่งหากนักลงทุนได้ทำการวิเคราะห์หุ้นที่น่าลงทุนไว้เป็นประจำ ในสภาวะที่ตลาดซบเซา อาจจะเป็นโอกาสให้ได้ซื้อหุ้นที่มีคุณภาพดีในราคาที่เหมาะสมได้

ข้อมูลจาก merriam-webster