
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารพาณิชย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 11 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) บริษัท เอสซีบี เอกซ์ (SCB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ธนาคารทหารไทยธนชาต (ttb) ธนาคารทิสโก้ (TISCO) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMBT) ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LHFG) และธนาคารไทยเครดิต (CREDIT) ได้รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1/2568 ออกมากันครบแล้ว
11 แบงก์โกยกำไร 6.83 หมื่นล้าน
โดยธนาคาร 11 แห่ง มีกำไรสุทธิรวมกันที่ 68,396 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.09% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) ที่อยู่ 61,020 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 5.62% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) ซึ่งหากพิจารณาเฉพาะธนาคารในกลุ่มที่มีความสำคัญเชิงระบบ (D-SIBs) ขนาดใหญ่ 6 แห่ง พบว่า ธนาคารที่มีกำไรสูงสุดในไตรมาสนี้ คือ กสิกรไทย จำนวน 13,791 ล้านบาท รองลงมา แบงก์กรุงเทพ 12,618 ล้านบาท และเอสซีบี เอกซ์ 12,502 ล้านบาท
ส่วนแบงก์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของกำไรสุทธิ QOQ มากสุด ได้แก่ กสิกรไทย เติบโต 28.07% แต่เมื่อเทียบ YOY เติบโตเพียง 1.08% รองลงมาจะเป็น แบงก์กรุงเทพ ที่มีการเติบโต QOQ อยู่ที่ 21.28% และเทียบ YOY อยู่ที่ 19.90%
ตั้งสำรอง 5.47 หมื่นล้านรับเสี่ยง
สำหรับการตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญ หรือผลขาดทุนทางด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ณ ไตรมาสที่ 1/2568 ทั้ง 11 แบงก์ ตั้งรวมอยู่ที่ 54,701 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.38% เมื่อเทียบ QOQ แต่เทียบ YOY ลดลง 8.01% โดยธนาคารส่วนใหญ่ยังให้เหตุผลการตั้งสำรอง เป็นไปอย่างระมัดระวังและใส่ปัจจัยความเสี่ยง ความไม่แน่นอนจากสงครามการค้าเพิ่มเติม
ทั้งนี้ แบงก์ที่ตั้งสำรองมากสุดในไตรมาสนี้ ได้แก่ กรุงศรี 9,988 ล้านบาท รองลงมา กสิกรไทย 9,818 ล้านบาท เอสซีบี เอกซ์ 9,570 ล้านบาท ตามด้วย แบงก์กรุงเทพ 9,067 ล้านบาท
โดยธนาคารที่มีสัดส่วนการตั้งสำรองสูงสุดในไตรมาสที่ 1/2568 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4/2567 ได้แก่ ธนาคารไทยเครดิต เพิ่มขึ้น 52.60% รองลงมา กรุงไทย เพิ่มขึ้น 22.28% ต่อมา ธนาคารกรุงเทพ เพิ่มขึ้น 18.8% ส่วนธนาคารที่มีสัดส่วนการตั้งสำรองลดลงสูงสุด ได้แก่ กสิกรไทย ลดลง 19.80% และเมื่อเทียบ YOY พบว่า ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีสัดส่วนตั้งสำรองเพิ่มขึ้นมากสุด 81.28%รองลงมา ซีไอเอ็มบี ไทย เพิ่มขึ้น 58.21% ส่วนธนาคารที่มีสัดส่วนการตั้งสำรองลดลงมากที่สุด เทียบ YOY คือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ลดลง 63.50%
หนี้เสียเพิ่มแตะ 5.39 แสนล้าน
ด้านหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของ 11 แบงก์ ณ ไตรมาสที่ 1/2568 มียอดรวมอยู่ที่ 539,021 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.52% QOQ โดยธนาคารที่มีสัดส่วนหนี้เสียเพิ่มขึ้นสูงสุด ธนาคารกรุงเทพ เพิ่มขึ้น 13.93% รองลงมา แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 9.32% แต่หากเทียบ YOY เอ็นพีแอลภาพรวมเพิ่มขึ้น 1.63% โดยธนาคารที่มีสัดส่วนเอ็นพีแอลเพิ่มสูงสุด YOY ได้แก่ ไทยเครดิต เพิ่มขึ้น 11.20% ตามมาด้วย กรุงศรี เพิ่มขึ้น 10.45% ส่วนธนาคารที่มีสัดส่วนหนี้เสียลดลงมากที่สุด YOY คือ ซีไอเอ็มบี ไทย ลดลง 18.40%
ดอกเบี้ยลดกดดัน NIM
ขณะที่ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ไตรมาสที่ 1/2568 เมื่อเทียบ QOQ ลดลง 3.31% โดยแบงก์ 10 แห่งมี NIM ที่ปรับลดลง ตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ปรับลดลง ยกเว้น กรุงศรี ที่ NIM ปรับเพิ่มขึ้น 1.74% เป็น 4.10% ผลมาจากการบริหารจัดการสภาพคล่องและต้นทุนทางการเงินเชิงรุกของธนาคาร
แนวโน้มกำไรปรับลดลง
นายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมกำไรแบงก์ในงวดไตรมาส 1/2568 ถูกกดดันจากรายได้ดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลง แต่มีตัวช่วยจากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มขึ้น และจากการขายเงินลงทุน รวมถึงมีกำไรจากการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิให้สะท้อนราคาตลาดที่เป็นธรรม หรือการทำ Mark to Market โดย KBANK และ BBL มีกำไรออกมาดีกว่าคาด ส่วน KKP และ ttb กำไรออกมาแย่กว่าคาด
“แนวโน้มกำไรแบงก์ช่วงที่เหลือของปีนี้ ประเมินว่ามีทิศทางอ่อนตัวลงต่อเนื่อง ทั้งนี้ ผลกระทบจะมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับปัจจัย คือ 1.ดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงแค่ไหน และ 2.ความเสี่ยงของการเติบโตเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไร จากผลกระทบสงครามการค้า (Trade War) ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถประเมินได้ชัด เนื่องจากยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ต่างประเทศมีปัจจัยอะไรที่น่ากังวลมากแค่ไหน”
คาด กนง.ลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง
นายธนเดชกล่าวว่า ในเบื้องต้นคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดดอกเบี้ยนโยบายปีนี้ลง 2 ครั้ง ครั้งแรกในรอบการประชุมวันที่ 30 เม.ย.นี้ และอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3/2568 จากเดิมที่มองว่า กนง.จะลดดอกเบี้ยแค่ 1 ครั้ง ทำให้จะกดดันแนวโน้มมาร์จิ้น หรือรายได้ดอกเบี้ยของแบงก์ปรับลดลงต่อเนื่อง
ส่วนทิศทางการเติบโตสินเชื่อแบงก์ปีนี้ คาดอยู่ระหว่างแค่ 0-1% สะท้อนว่าสินเชื่ออาจไม่โตเลย โดยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกว่าจะแย่แค่ไหน เบื้องต้นประเมินว่าหากสถานการณ์การค้าโลกยังคลุมเครือ สิ่งที่เกิดขึ้นคืออาจเห็นการชะลอแผนลงทุนและการไม่กู้เงิน ซึ่งกดดันการชะลอขอสินเชื่อ
จ่อปรับลดประมาณการกำไร
นายธนเดชกล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่ากำไรแบงก์ปีนี้คงมีดาวน์ไซด์จากประมาณการเดิมอยู่พอสมควร เดิมคาดการณ์กำไรแบงก์ปีนี้ 229,700 ล้านบาท เติบโต 3% เมื่อเทียบจากปี 2567 (ไม่รวมกำไร BAY, CIMBT, LHFG) แต่คาดการณ์ใหม่ว่ามีความเสี่ยงอาจจะโตต่ำหรือไม่โตเลยก็ได้ ทั้งนี้ คงจะต้องประเมินตัวแปรสำคัญก่อน ทั้งเรื่องดอกเบี้ยนโยบาย ภาพรวมเศรษฐกิจไทย และภาวะตลาดทุน รวมถึงว่าจะมีปัจจัยอะไรที่เข้ามาช่วยหนุนบ้าง
“ประเมินแนวโน้มกำไรแบงก์ไตรมาส 2/2568 และครึ่งปีหลังจะมีผลกระทบที่มากขึ้นจากปัจจัยข้างต้น ขณะเดียวกันรายได้ค่าธรรมเนียมฝั่งตลาดทุนก็ยังไม่ปรับตัวดีขึ้น เพราะฉะนั้น กำไรแบงก์ปีนี้ต้องอาศัยเรื่องหลัก ๆ คือ ต้องลดค่าใช้จ่ายถึงจะช่วยได้ ดังนั้น กำไรแบงก์อาจจะโตได้ยากแล้ว ตอนนี้เราก็อยู่ระหว่างการปรับประมาณการใหม่”
ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงจากสงครามการค้า จะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการแบงก์ในช่วงที่เหลือของปีมากน้อยแค่ไหน คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป