
“บล.ฟิลลิป” เผย KBANK อยู่ระหว่างหารือหน่วยงานกำกับ ส่อทำโครงการ “ซื้อหุ้นคืน” ตามรอย “ทีทีบี” ที่ประกาศใช้วงเงิน 2.1 หมื่นล้าน ระยะเวลา 3 ปีไปก่อนหน้านี้
นายอดิสรณ์ มุ่งพาลชล หัวหน้าส่วนนักวิเคราะห์พื้นฐาน บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ในการประชุมนักวิเคราะห์ ที่จัดโดยธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เมื่อวันที่ 21 เม.ย. ทาง KBANK ยังคงเป้าหมายทางการเงินในปี 2568 ไว้เหมือนเดิม
แต่ด้วยความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจอาจจะอยู่ในช่วงต่ำ เช่น อัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) อาจจะอยู่ที่ 3.3% จากเป้า 3.3-3.5% โดยไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 3.41% ส่วนการตั้งสำรองหนี้ อาจจะอยู่ที่ 160 bps จากเป้า 140-160 bps ซึ่งไตรมาส 1/2568 อยู่ที่ 160 bps
นอกจากนี้ KBANK อยู่ระหว่างพูดคุยกับหน่วยงานกำกับดูแล ในประเด็นการซื้อหุ้นคืน ซึ่งเป็นหนึ่งในทางเลือกในการเพิ่มผลตอบแทนส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) เป็น 2 หลักในปี 2569 เพิ่มเติมจากการเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลและการจ่ายปันผลพิเศษ
รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ก็มี ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือทีเอ็มบีธนชาต (ทีทีบี) แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการธนาคารได้มีมติอนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารการเงิน ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 21,000 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570
โดยนายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบีธนชาต กล่าวว่า การซื้อหุ้นคืนในครั้งนี้เป็นหนึ่งในหลายโครงการที่อยู่ในแผนงานด้านการบริหารส่วนทุน (Capital Management) ของธนาคาร โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้นผ่านการปรับโครงสร้างและขนาดงบดุลให้มีความเหมาะสมมากยิ่งขึ้น
นายภูวดล ภูสอดเงิน นักวิเคราะห์การลงทุนปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน บล.บัวหลวง ระบุว่า ข้อดีการซื้อหุ้นคืน จะทำให้กำไรต่อหุ้น (EPS) และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) สูงขึ้น เนื่องจากหุ้นที่ถูกซื้อคืนจะไม่ถูกนำมาคำนวณกำไรต่อหุ้น และมีโอกาสได้รับเงินปันผลต่อหุ้นสูงขึ้น รวมถึงมีโอกาสที่ราคาหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้น ในระดับที่ P/E เท่าเดิม
โดยปีนี้เทรนด์การซื้อหุ้นคืนแค่ไตรมาสแรก ไตรมาสเดียวสูงถึง 36,800 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าปี 2565-2567 และมากกว่าช่วงปีที่เกิดวิกฤตโควิดที่มีวงเงินซื้อหุ้นคืนอยู่ประมาณ 25,000 ล้านบาท สาเหตุเพราะผลของราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมาต่ำกว่าพื้นฐานค่อนข้างมาก
“การที่หลาย ๆ บจ.ที่ยังไม่ได้ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนออกมานั้น อาจเป็นเพราะต้องประเมินสถานการณ์ผลกระทบ Trade War 2.0 จาก Reciprocal Tariffs ก่อน แต่ภายในบริษัทเชื่อว่าคงมีการศึกษาเรื่องนี้กันไว้แล้ว เพราะราคาหุ้นปรับลงมามาก”