
คอลัมน์ : นอกรอบ ผู้เขียน : Bnomics : ธนาคารกรุงเทพ
ในปี 2567 ประเทศไทยครองตำแหน่ง “ผู้ส่งออกทุเรียนรายใหญ่ที่สุดของโลก” ด้วยผลผลิตรวมกว่า 1.3 ล้านตัน ซึ่งกว่า 75% ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ สร้างรายได้จากการส่งออกทุเรียนสดกว่า 3.76 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ตลาดหลัก คือ ประเทศจีน ที่นำเข้าทุเรียนจากไทยมากถึง 90% ของยอดส่งออกทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดจีนจะยังเติบโตต่อเนื่อง แต่ตำแหน่งผู้นำของไทยกลับเริ่มสั่นคลอน เมื่อ “คู่แข่ง” หลายประเทศเริ่มแย่งชิงพื้นที่ตลาด และจีนเองก็เริ่มลดการพึ่งพาการนำเข้าจากไทย
– เดิมจีนนำเข้าทุเรียนจากไทยเกือบ 100%
– ปัจจุบันไทยเหลือส่วนแบ่งเพียงประมาณ 60%
– ส่วนที่หายไปกระจายไปยังเวียดนาม มาเลเซีย ฟิลิปปินส์
– และที่น่าจับตา คือ จีนเริ่มปลูกทุเรียนเองในประเทศ
จีน : จาก “ลูกค้าเก่า” สู่ “คู่แข่งใหม่”
จีนเริ่มปลูกทุเรียนเชิงพาณิชย์ในมณฑลไห่หนานตั้งแต่ปี 2551 โดยไห่หนานเป็นมณฑลเดียวในจีนที่มีภูมิอากาศเขตร้อน ผลผลิตเชิงพาณิชย์เริ่มมีในปี 2565 แม้ปริมาณยังน้อย ราคาสูงกว่าทุเรียนไทยถึง 3 เท่า และยังสู้เรื่องกลิ่น-รสชาติไม่ได้ แต่จีนไม่ได้หยุดเพียงแค่นั้น
จีนกำลังลงทุนพัฒนาอย่างจริงจังผ่าน
– การวิจัยพันธุ์พืชเขตร้อน (Tropical Crop R&D)
– ระบบน้ำอัตโนมัติ
– โดรนควบคุมคุณภาพ
– แพลตฟอร์มเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture)
วันนี้จีนอาจยังตามหลังไทย…แต่พรุ่งนี้อาจกลายเป็นคู่แข่งตัวจริง
เวียดนาม : ผู้ท้าชิงที่ “พร้อมกว่า”
เวียดนามกำลังเป็นดาวรุ่งของตลาดจีน ด้วยข้อได้เปรียบที่ผลิตทุเรียนได้ ตลอดทั้งปีสามารถส่งผลผลิตเข้าสู่ตลาดได้ในช่วงที่ผลผลิตไทยขาดพอดี เช่น ช่วงตรุษจีนและฤดูใบไม้ผลิ
– ขนส่งเร็ว ต้นทุนต่ำ ราคาถูกกว่า
– ได้ใบอนุญาตนำเข้าเพิ่มจากทางการจีนต่อเนื่อง
– เดือน ก.พ. และ ก.ย. 2567 เวียดนามแซงไทยเป็นอันดับ 1 ผู้ส่งออกทุเรียนไปจีน
– เติมเต็มช่วงว่างในตลาดได้แม่นยำ ขณะที่ไทยยังเน้นผลผลิตฤดูเดียว
มาเลเซีย : เล่นเกมพรีเมี่ยมด้วย “Musang King : The Rolex of Durian”
ในขณะที่ไทยเน้นปริมาณ มาเลเซียเลือกจับตลาดบน ด้วยแบรนด์ “Musang King” ที่เน้นรสชาติพิเศษและคุณภาพสูง
– ราคาสูงกว่าทุเรียนไทยหลายเท่า แต่ตลาดยังตอบรับดี
– สร้างแบรนด์ร่วมกันระหว่างภาครัฐ-เอกชน
– ส่งออกได้ไกลถึงสหรัฐ และยุโรป
ถือเป็นตัวอย่างของการเปลี่ยน “สินค้าเกษตร” เป็น “สินค้าระดับโลก”
“Perfect Storm” ของทุเรียน
สถานการณ์ของทุเรียนไทยในวันนี้เผชิญความเสี่ยงหลายด้านพร้อมกันทั้ง
– ผลผลิตลดลงจากภาวะโลกร้อน ฤดูฝนไม่แน่นอน
– คุณภาพไม่สม่ำเสมอ ถูกตีกลับจากตลาดจีน
– คู่แข่งขนส่งได้เร็วกว่า และตั้งราคาขายได้ต่ำกว่า
– ทุเรียนไทยนอกฤดูยังคุมคุณภาพไม่ได้เท่าที่ควร
– การพึ่งพาตลาดจีนมากเกินไป
ทางรอดของไทย : คุณภาพนำหน้า มาตรฐานนำทาง
ประเทศไทยต้องเร่งปรับตัว หากต้องการรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดโลก ด้วยการ
– ยกระดับมาตรฐาน GAP & GMP อย่างจริงจัง
– สร้างระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability)
– สื่อสารเชิงคุณภาพกับเกษตรกรอย่างต่อเนื่อง
– ปรับยุทธศาสตร์ส่งออกจาก “ปริมาณนำ” เป็น “คุณภาพนำ”
ในวันที่คู่แข่งมีทั้ง “ต้นทุนที่ต่ำ” และ “เทคโนโลยีที่ก้าวหน้า”
สิ่งที่ไทยยังมีอยู่คือ “ชื่อเสียง” และ “ความไว้ใจของผู้บริโภค”
ซึ่งอาจเป็นแต้มต่อสุดท้าย…ที่เราต้องรักษาไว้ให้ได้ เพราะในโลกที่คู่แข่งมีทั้ง “ต้นทุน” และ “เทคโนโลยี” ชื่อเสียง อาจเป็นแต้มต่อสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่