
คนทำธุรกิจ SMEs ไม่ได้มีแค่ ‘รายจ่าย’ ที่ต้องเจอ แต่ยังเจอ ‘ภาษี’ ที่ต้องแบกด้วย แล้วธุรกิจ SMEs ต้องแบกภาษีอะไรบ้าง รวบรวมให้แล้วที่นี่
ประเด็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงเวลานี้ หลังจาก นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงแนวทางเพิ่มการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล โดยมีไอเดียในการจัดเก็บภาษี VAT กรณีที่ธุรกิจที่มีรายได้ต่ำกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี เพิ่มจากกลุ่มเดิมด้วย
ในความเป็นจริงแล้ว นอกจากภาษี VAT ที่ทั้งบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลต้องจ่ายอยู่แล้ว สำหรับผู้ประกอบธุรกิจ SMEs ยังมีอีกหลากหลายภาษีที่ต้องจ่ายด้วย
“ประชาชาติธุรกิจ” รวบรวมข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการ SMEs ต้องเจอภาษีอะไรบ้าง ?
ธุรกิจ SMEs เจอภาษี ‘นิติบุคคล’
สำหรับธุรกิจ SMEs ภาษีประเภทหนึ่งที่ต้องจ่าย คือ ภาษีเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (กรณีไม่ได้จดทะเบียนนิติบุคคล) และภาษีเงินได้นิติบุคคล (กรณีจดทะเบียนนิติบุคคล) แต่หลาย ๆ คน มักเลือกจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เพื่อให้การบริหารจัดการมีประสิทธิภาพและจ่ายภาษีได้คุ้มค่ามากกว่า
อย่างไรก็ดี กฎหมายมีการยกเว้นให้นิติบุคคลบางประเภท นอกจาก กระทรวง ทบวง กรม องค์การของรัฐ หรือสหกรณ์ ได้แก่
(1) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามข้อผูกพันที่ประเทศไทยมีอยู่ตามสัญญาว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจ หรือทางเทคนิคระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ
(2) บริษัทจำกัดที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้ตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน
(3) บริษัทจำกัดและนิติบุคคลที่มีสภาพเช่นเดียวกับบริษัทจำกัดซึ่งตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือกฎหมายต่าง ประเทศได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลตามพระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม
(4) บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่อยู่ในประเทศที่มีอนุสัญญาว่าด้วยการเว้นการเก็บภาษีซ้อนกับประเทศไทย ตามเงื่อนไขที่กำหนดในอนุสัญญา
สำหรับอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล (ยื่นแบบ ภ.ง.ด.51, ภ.ง.ด.50) จะคำนวณจากฐานกำไรสุทธิ ของนิติบุคคล SMEs ทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ ไม่เกิน 30 ล้านบาท ภายในรอบระยะเวลาบัญชี โดยมีอัตราภาษีดังนี้
- กำไรสุทธิ ไม่เกิน 300,000 บาท ได้รับการยกเว้นภาษี
- กำไรสุทธิ 300,001-3,000,000 บาท อัตราภาษี ร้อยละ 15
- กำไรสุทธิ เกิน 3,000,000 บาท อัตราภาษี ร้อยละ 20
ทั้งนี้ กรณีนิติบุคคลทั่วไป เสียภาษีนิติบุคคลในอัตราร้อยละ 20 ของกำไรสุทธิทั้งจำนวน
SMEs กับภาษี VAT
อีกหนึ่งประเภทภาษีที่คนทำธุรกิจหลายคนต้องเจอ คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งเป็นภาษีที่เรียกเก็บจากมูลค่าสินค้าหรือบริการที่มีการซื้อขาย โดยตามกฎหมายกำหนดเก็บในอัตรา 10% แต่มีการปรับลดอัตราจัดเก็บภาษี VAT เป็นการชั่วคราว อยู่ที่ร้อยละ 7 (อัตราภาษี VAT 6.3%+ภาษีท้องถิ่น 0.7%) ส่วนผู้มีหน้าที่ต้องจดทะเบียน VAT คือผู้ประกอบการมียอดขายมากกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
แล้วใครบ้างที่ต้องเสียภาษี ? ผู้ประกอบการที่ต้องเสียภาษี VAT มีดังนี้
- การขายสินค้าในราชอาณาจักร
- การให้บริการในราชอาณาจักรโดยผู้ประกอบการรวมถึงการให้บริการที่ทำในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในราชอาณาจักร (เช่น การให้บริการแพลตฟอร์มโฆษณาออนไลน์จากบริษัทต่างประเทศที่ใช้ในไทย) และบริการที่ได้ทำในราชอาณาจักรแต่ใช้บริการจริงเกิดขึ้นในต่างประเทศ (เช่น รับจ้างเขียนซอฟแวร์ให้บริษัทต่างชาติไปใช้ในต่างประเทศ)
- การนำเข้าสินค้าเข้ามาในราชอาณาจักร
สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จะแบ่งอัตราเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ
1.อัตราภาษีร้อยละ 10 (ปัจจุบันจัดเก็บอัตรากาษี ร้อยละ 7 ตามพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฉบับที่ 790) พ.ศ. 2567) สำหรับการประกอบกิจการ ดังต่อไปนี้
- การขายสินค้า
- การให้บริการ
- การนำเข้า
2 อัตราภาษีร้อยละ 0 สำหรับการประกอบกิจการ ดังต่อไปนี้
- การส่งออกสินค้าของผู้ประกอบการจดทะเบียน
- การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักร และได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศตามประเภท หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด
- การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศโดยอากาศยาน หรือเรือเดินทะเลที่กระทำโดยผู้ประกอบการที่เป็นนิติบุคคล
- การขายสินค้า หรือการให้บริการกับกระทรวง ทบวง กรมราชการส่วนท้องถิ่น หรือรัฐวิสาหกิจ ตามโครงการเงินกู้หรือเงินช่วยเหลือจากต่างประเทศ
- การขายสินค้า หรือการให้บริการกับองค์การสหประชาชาติทบวงการชำนัญพิศษของสหประชาชาติ สถานเอกอัครราชทูตสถานทูต สถานกงสุลใหญ่ สถานกงสุล
- การขายสินค้า หรือการให้บริการระหว่างคลังสินค้าทัณฑ์บนกับคลังสินค้าทัณฑ์บน รือระหว่างผู้ประกอบการกับผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการอยู่ในขตปลอดอากร ไม่ว่าจะอยู่ในเขตเดียวกันหรือไม่ หรือระหว่างคลังสินค้าทัณฑ์บนกับผู้ประกอบการที่ประกอบกิจการอยู่ในเขตปลอดอากร
ขณะที่การยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม จะมีการยกเว้นหลัก ๆ ในกลุ่มสินค้าเกษตร การบริการต่าง ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
การขายสินค้าที่มิใช่การส่งออก หรือการให้บริการ
- การขายพืชผลทางการเกษตร
- การขายสัตว์
- การขายปุ๋ย
- การขายปลาปัน อาหารสัตว์
- การขายยา หรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืช หรือสัตว์
- การขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
- การให้บริการการศึกษาของสถานศึกษาของทางราชการสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชนหรือโรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
- การให้บริการที่เป็นงานทางศิลปะและวัฒนธรรมในสาขา
- การให้บริการการประกอบโรคศิลปะ การสอบบัญชี การว่าความหรือการประกอบวิชาชีพอิสระอื่นตามที่อธิบดีกำหนด
- การให้บริการรักษาพยาบาลของสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล
- การให้บริการวิจัย หรือการให้บริการทางวิชาการ
- การให้บริการห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์
- การให้บริการตามสัญญาจ้างแรงงาน
- การให้บริการจัดแข่งขันกีฬาสมัครเล่น
- การให้บริการของนักแสดงสาธารณะ
- การให้บริการขนส่งในราชอาณาจักร
- การให้บริการขนส่งระหว่างประเทศซึ่งมิใช่เป็นการขนส่งโดยอากาศยาน หรือเรือเดินทะเล
- การให้บริการเช่าอสังหาริมทรัพย์
- การให้บริการของราชการส่วนท้องถิ่น
- การขายสินค้า หรือการให้บริการของกระทรวง ทบวง กรม
- การขายสินค้า หรือการให้บริการเพื่อประโยชน์แก่การศาสนา
- การขายสินค้า หรือการให้บริการตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา
การนำเข้าสินค้า
- สินค้าพืชผลทางการเกษตร ขายสัตว์ ปุ๋ย ปลาป่น อาหารสัตว์ ยาหรือเคมีภัณฑ์ที่ใช้สำหรับพืช หรือสัตว์หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน
- สินค้าจากต่างประเทศที่นำเข้าไปในเขตปลอดอากรทั้งนี้ เฉพาะสินค้าที่ได้รับยกเว้นอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น
- สินค้าที่จำแนกประเภทไว้ในภาคว่าด้วยของที่ได้รับยกเว้นอากรตามกฎหมายว่าด้วยพิกัดอัตราศุลกากร
- สินค้าซึ่งนำเข้าและอยู่ในอารักขาของศุลกากรแล้วได้ส่งกลับออกไปต่างประเทศโดยได้คืนอากรขาเข้าตามกฎหมายว่าด้วยศุลกากร
สำหรับการเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จะคำนวณจากสิ่งที่เรียกว่า “ภาษีซื้อ” และ “ภาษีขาย”
ภาษีขาย คือ ภาษี VAT ที่เรียกเก็บจากผู้ซื้อในการขายสินค้าหรือบริการ เป็นภาษีที่ต้องนำส่งกรณีขายมากกว่าซื้อ
ภาษีซื้อ คือ ภาษี VAT ที่ผู้ซื้อสินค้าหรือบริการต้องชำระให้ผู้ขายในการซื้อสินค้า เป็นภาษีที่ขอคืนได้ถ้าน้อยกว่าภาษีขายในรอบนั้น
หลักการอย่างง่ายที่สุดของการคำนวณคือ ถ้าภาษีขาย มากกว่า ภาษีซื้อ จะต้องเสียภาษี แต่ถ้าภาษีขาย น้อยกว่า ภาษีซื้อ สามารถขอเป็นเงินคืนหรือเป็นเครดิตเพื่อหักกับภาษี VAT ที่ต้องจ่ายในเดือนถัดไป แต่ผู้จดทะเบียน VAT ทุกคน จะต้องยื่นแบบทุกเดือน ไม่ว่าจะมีการขายหรือไม่ก็ตาม
ภาษีประเภทอื่น ๆ ที่ธุรกิจ SMEs (อาจ) เจอ
นอกจากภาษีนิติบุคคล และภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ยังมีภาษีประเภทอื่น ๆ ที่ผู้ประกอบการ SMEs อาจเจอ คือ
ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย
เป็นภาษีที่กฎหมายกำหนดให้ผู้มีหน้าที่จ่ายเงินตามมาตรา 40 ต้องมีหน้าที่หัก ณ ที่จ่ายตามอัตราที่กฎหมายกำหนดเพื่อนำส่งให้รัฐ หากไม่หักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ต้องมีโทษปรับและต้องร่วมรับผิดชอบกับผู้มีเงินได้ด้วย กรณีกิจการจดเป็นนิติบุคคลและจ่ายเงินเดือนให้กับลูกจ้างไปหรือจ่ายให้กับผู้รับจ้างทำของไป นิติบุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ และเหลือเท่าไหร่ก็จ่ายเป็นเงินไปพร้อมใบภาษีหัก ณ ที่จ่ายให้กับผู้รับเงิน
ภาษีบำรุงท้องที่
การเก็บภาษีจากเจ้าของที่ดิน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล โดยต้องเสียภาษีบำรุงท้องที่ในเดือนเมษายนของทุกปี
ภาษีโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง
บุคคลที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับหอพัก ห้องเช่า อพาร์ทเมนท์ ต้องเสียภาษี 12.5% ต่อปีของรายได้จากค่าเช่า และต้องชำระภาษีส่วนนี้ที่สำนักงานเขตหรืออำเภอ ที่โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างตั้งอยู่ ภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
ภาษีป้าย
เป็นการจัดเก็บกรณีป้ายหน้าร้าน ป้ายโฆษณาต่าง ๆ จะคิดจากขนาดของป้ายเริ่มต้นที่ 200 บาท ต้องยื่นชำระที่สำนักงานเขตหรืออำเภอที่ตั้งของป้าย ภายในเดือนมีนาคมของทุกปี
ภาษีธุรกิจเฉพาะ
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ ได้แก่ บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจเฉพาะ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับการเงิน หลักทรัพย์ อสังหาริมทรัพย์
เก็บ VAT ธุรกิจต่ำกว่า 1.8 ล้าน ยังเป็นแค่ไอเดีย
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กรณีมีข่าวเรื่องแนวคิดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากผู้ประกอบการที่มีรายได้ขั้นต่ำ 1.5 ล้านบาทต่อปี จากเดิมที่จะเก็บเฉพาะผู้ประกอบการที่มีรายได้ 1.8 ล้านบาทต่อปีขึ้นไปนั้น ขณะนี้ยังเป็นไอเดีย ในการเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีจากผู้ประกอบการ เพื่อปิดช่อง ที่ปกติแล้ว หากผู้ประกอบการรายได้ไม่ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี ทางกรมสรรพากรจะเก็บแต่ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และคิดภาษีแบบเหมาจ่าย 60%
“ปัจจุบัน ผู้ประกอบการหรือธุรกิจจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ยอมโต เพราะถ้ารายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่หากรายได้ต่ำกว่านั้น ก็เสียแบบเหมาจ่าย ซึ่งเสียน้อยกว่า ดังนั้น จึงมีไอเดียที่คุยกันว่า อาจจะเปลี่ยนระบบการคิดภาษีในส่วนนี้ แต่ไม่ใช่ไปเก็บ VAT จากประชาชนทั่วไปเพิ่มแต่อย่างใด คนทั่วไปไม่ได้รับผลกระทบ” แหล่งข่าวกล่าว
ครึ่งแรก ปีงบ’68 สรรพากรเก็บรายได้กว่า 9 แสนล้าน
นางสาวศศิกานต์ วัฒนะจันทร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผย ว่าผลการจัดเก็บรายได้ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567 – มีนาคม 2568) จากกระทรวงการคลังสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิรวม 1,195,662 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการตามเอกสารงบประมาณ 1,807 ล้านบาท หรือ 0.2% และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 26,503 ล้านบาท หรือ 2.3%
ส่วนใหญ่เป็นผลจากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศ และการนำส่งรายได้ของรัฐวิสาหกิจ อย่างไรตาม รายได้จากภาษีรถยนต์ยังคงต่ำกว่าประมาณการ เนื่องจากการดำเนินมาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ส่งผลให้อัตราภาษีเฉลี่ยลดลงตามโครงสร้างภาษีใหม่
สำหรับการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร กรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ในช่วงครึ่งแรกของปีงบประมาณ 2568 สามารถจัดเก็บรวมทั้งสิ้น 1,288,536 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 38,263 ล้านบาท หรือ 3.1% โดยมีรายละเอียดดังนี้
กรมสรรพากร
จัดเก็บได้ 966,200 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 36,212 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการ 10,157 ล้านบาท หรือ 1.1%
กรมสรรพสามิต
จัดเก็บได้ 264,971 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,160 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 21,321 ล้านบาท หรือ 7.4%
กรมศุลกากร
จัดเก็บได้ 57,365 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 2,109 ล้านบาท ต่ำกว่าประมาณการ 4,235 ล้านบาท หรือ 6.9%
นอกจากนี้ กรมสรรพากร เปิดเผยข้อมูลการจัดเก็บรายได้เดือนเมษายน 2568 อยู่ที่ 171,921 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 11,052 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.9 และสูงกว่าประมาณการจัดเก็บภาษีสรรพากรตามเอกสารงบประมาณ 7,732 ล้าบาท คิดเป็นร้อยละ 4.7
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณารายได้สะสม 7 เดือน (ตุลาคม 2567 – เมษายน 2568) กรมสรรพากรจัดเก็บได้ 1,138,182 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน 47,325 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4.3 และสูงกว่าประมาณการ 17,950 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 1.6
นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า “สาเหตุหลักที่กรมสรรพากรจัดเก็บรายได้ในเดือนเมษายนได้สูงกว่าเป้าเป็นผลมาจากภาษีมูลค่าเพิ่มจากการบริโภคภายในประเทศ (ภ.พ. 30) ที่สูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11 รวมถึงภาษีเงินได้จากการจ่ายเงินปันผลและการจำหน่ายกำไรไปต่างประเทศ (ภ.ง.ด. 54) และภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าที่สูงกว่าประมาณการ”
ข้อมูลจาก กรมสรรพากร, ธนาคารกรุงเทพ, businessplus.co.th