
ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดย KKP Research ปรับประมาณการจีดีพีใทยปี 2568 ลงเหลือ 1.7% จาก 2.3% สะท้อนผลจากนโยบายการค้าสหรัฐ ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก ชี้ 3 เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลง หากไม่แก้ไขจีดีพีไทยมีโอกาสต่ำกว่า 2% พร้อมเปิด 3 ปัจจัยที่ทำให้ไทยจะไม่กลับไปโต 3%
เศรษฐกิจไทยอยู่ในภาวะถดถอยไปแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ธนาคารเกียรตินาคินภัทร โดย KKP Research ระบุว่า เศรษฐกิจไทยหลังโควิด-19 ได้รับแรงส่งหลักจากภาคการท่องเที่ยวมาโดยตลอด ตามฐานการท่องเที่ยวที่อยู่ในระดับต่ำในช่วงการระบาดของโควิด แต่หากไม่นับรวมการท่องเที่ยว จะพบว่าเศรษฐกิจไทยในส่วนที่เหลือหดตัวมาตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2565 และกลับมาโตเป็นบวกเล็กน้อยแตะระดับ 0% ในช่วง 2 ไตรมาสล่าสุด การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ติดลบต่อเนื่องสะท้อนว่าภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ ของไทยที่ไม่รวมการท่องเที่ยว เช่น ภาคอุตสาหกรรม หรือเศรษฐกิจในประเทศอาจเรียกว่าอยู่ในภาวะถดถอยไปแล้ว ซึ่งสะท้อนความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยที่มีมาอยู่ก่อนแล้ว
เมื่อเครื่องยนต์เศรษฐกิจดับลงพร้อมกัน
ในปี 2568 สามเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย ทั้งภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และภาคเกษตร กำลังมีแนวโน้มชะลอตัวลงพร้อม ๆ กัน คือ
1.แรงส่งจากภาคการท่องเที่ยวกำลังจะหายไปในปีนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมา ข้อมูลสะท้อนว่าแนวโน้มการเติบโตของภาคการท่องเที่ยวกำลังชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมาและนิยมไปเที่ยวประเทศอื่น เช่น ญี่ปุ่น แทนการมาท่องเที่ยวไทย ส่งผลให้การท่องเที่ยวที่เคยเป็นแรงส่งหลักทั้งหมดของเศรษฐกิจ (ประมาน 2-3 ppt) ในช่วงปี 2565-2567 จะเริ่มไม่ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยมากนักในปีนี้ โดย KKP ประเมินจำนวนนักท่องเที่ยวที่ 36.2 ล้านคน เทียบกับปีก่อนที่ 35.6 ล้านคน หรือโตขึ้นเพียง 6 แสนคนเท่านั้น และมีความเสี่ยงจะลดลงได้
2.ภาคอุตสาหกรรมเผชิญปัญหาเชิงโครงสร้าง ที่อยู่ในทิศทางติดลบมาโดยตลอดอยู่แล้ว โดยหดตัวมาตั้งแต่ปลายปี 2565 โดยนักวิเคราะห์หวังว่าจะฟื้นตัวขึ้นได้บ้างในปีนี้ แต่การประกาศขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ จะเป็นปัจจัยลบเพิ่มเติมที่ทำให้เห็นการฟื้นตัวได้ยาก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสินค้าที่ไทยส่งออกไปยังสหรัฐเป็นหลัก
3.ภาคเกษตรมีแนวโน้มชะลอตัว สะท้อนจากข้อมูลการส่งออกภาคเกษตรที่หดตัวลงแรง โดยเฉพาะข้าวหลังอินเดียกลับมาส่งออกข้าวขาวได้ในปีนี้ โดยการส่งออกข้าวขาวติดลบเกือบ 30% ในช่วงไตรมาสแรก รายได้ที่ชะลอตัวลงในภาคเกษตรจะส่งผลต่อเนื่องให้การบริโภคในประเทศชะลอลง
โดย 3 ภาคเศรษฐกิจที่ชะลอลงพร้อมกัน เป็นความเสี่ยงสำคัญที่เราอาจเห็นเศรษฐกิจไทยในปี 2568 โตได้ต่ำลงเรื่อย ๆ และสะท้อนว่าการชะตัวของเศรษฐกิจไทยไม่ได้เกิดจากนโยบายภาษีเป็นเรื่องสำคัญเรื่องเดียว
การเปลี่ยนแปลงของนโยบายการค้าโลก ส่งผลลบต่อเศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจที่อ่อนแออยู่แล้วได้รับผลจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าเพิ่มเติม KKP Research ประเมินว่าในที่สุด ระดับภาษีที่สหรัฐคิดกับไทยและประเทศอื่น ๆ ในโลกจะค้างอยู่ที่ระดับ 10% ภายใต้ข้อสมมุติว่าเราเจรจากับสหรัฐให้ลดอัตราภาษีนำเข้าลงมาได้ ในขณะที่อัตราภาษีนำเข้ากับจีน ที่เริ่มมีการตกลงเบื้องต้นเพื่อลดภาษีนำเข้าลงมาได้แล้ว และน่าจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าประเทศอื่น
ภายใต้สถานการณ์นี้ ผลกระทบจากภาษีต่อไทยจะเกิดขึ้นผ่าน 3 ช่องทางหลัก ได้แก่ ผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกไปยังสหรัฐ การให้ข้อแลกเปลี่ยนทางการค้า โดยเปิดตลาดของสินค้าบางกลุ่มให้กับสหรัฐ และผลกระทบทางอ้อมจากภาวะการค้าโลกและการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอลงต่อการส่งออกไทย
ผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกไปสหรัฐ ในกรณีที่มีการขึ้นภาษี 10% ต่อสินค้าส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐ KKP Research ประเมินว่า GDP ไทยอาจได้รับผลกระทบติดลบประมาณ 0.15% การให้ข้อแลกเปลี่ยนในระหว่างการเจรจาอาจกระทบเศรษฐกิจบางภาคส่วน หากสหรัฐเรียกร้องให้ไทยเปิดตลาดในภาคเกษตรมากขึ้น โดยเฉพาะหมู เนื้อวัว และนม จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดย GDP ภาคเกษตรมีสัดส่วน 8-9% และหมู-ไก่ 1.3% แต่ภาคเกษตรยังคงมีบทบาทในการจ้างงานในชนบทอย่างกว้างขวาง โดยคิดเป็นกว่า 31% ของการจ้างงานทั้งหมด
ผลกระทบทางอ้อมจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว KKP Research ประเมินว่า ในอดีต ทุก ๆ การลดลงของ GDP โลก 1% จะส่งผลให้ GDP ไทยลดลงประมาณ 0.6%
ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยจากประเด็นสงครามการค้าในปี 2568 ยังคงเอียงไปทางด้านลบ หากการเจรจาล้มเหลว และสหรัฐกลับมาเรียกเก็บภาษีที่อัตรา 36% หลังครบกำหนดผ่อนผัน 90 วัน ขณะเดียวกันเศรษฐกิจโลกยังชะลอตัวต่อเนื่อง KKP Research ประเมินว่า GDP ไทยในปี 2568 อาจลดลงต่ำสุดเหลือเพียง 0.9%
ทำไมไทยจะไม่กลับไปโต 3%
KKP ประเมินภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตจากข้อมูลเศรษฐกิจในฝั่งอุปทานว่า ค่อนข้างยากที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยกลับไปเติบโตที่ 3% แม้จะไม่มีมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐก็ตาม เพื่อที่จะรักษาระดับการเติบโตของเศรษฐกิจให้ใกล้เคียง 3% สิ่งที่จะต้องเกิดขึ้น คือ
ในกรณีแรก ภาคการท่องเที่ยวจะต้องขยายตัวมากถึงปีละประมาน 7-10 ล้านคน เหมือนช่วงที่จีนเข้ามาท่องเที่ยวไทยใหม่ ๆ หรือจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามายังไทยต้องขยายตัวไปถึงประมาน 70 ล้านคนในปี 2573 เพื่อชดเชยกับภาคอุตสาหกรรมที่ชะลอตัวลง
ในกรณีสอง ภาคการผลิตไทยต้องกลับไปเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 5% เหมือนในช่วงปี 2543 ก่อนที่การท่องเที่ยวจะขยายตัวก้าวกระโดด ซึ่งเป็นไปได้ยากเมื่อพิจารณาการเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในช่วงหลังโควิดที่โตได้เฉลี่ยเพียง -0.59% ต่อปี
ในกรณีสุดท้าย การใช้ภาคเกษตรเป็นตัวนำทางเศรษฐกิจ ซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะมีขนาดที่เล็กเกินไปเพียงประมาณ 8% ของ GDP นอกจากนี้ในปัจจุบันการส่งออกในภาคเกษตรที่เติบโตติดลบในปี 2568 เนื่องจากข้าวไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคากับข้าวอินเดียได้
เศรษฐกิจในประเทศอยู่ในภาวะเปราะบาง
ภาคต่างประเทศที่อ่อนแอลงกลับมาเป็นคำถามว่าไทยพึ่งพาเศรษฐกิจในประเทศแทนได้หรือไม่ โดยช่วงที่ผ่านมาสินเชื่อภาคธนาคารปรับตัวแย่ลงมาอย่างต่อเนื่องในทุกกลุ่ม ซึ่งเกิดจากหลายสาเหตุ 1.หนี้เสียในภาคธนาคารปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนี้เสียในกลุ่มสินเชื่อรายย่อยและ SMEs ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของเศรษฐกิจ 2.หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ Balance Sheet ของภาคครัวเรือนในปัจจุบันอยู่ในสถานะอ่อนแอและมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น 3.อัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันไม่เป็นระดับที่ผ่อนคลายและสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อ
เศรษฐกิจไทยโตต่ำลงเรื่อย ๆ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย
KKP Research ชวนตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย 3 ข้อ คือ 1.นับตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไปจะเป็นปีที่ไม่เหลือแรงส่งให้เศรษฐกิจเติบโตได้อีกแล้ว และยากที่แต่ละ Sector จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำการเติบโตทางเศรษฐกิจเหมือนในอดีต จะทำให้ GDP โตต่ำกว่า 2% และ 2.ปัญหาของภาคเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงไม่ได้เกิดจากเฉพาะปัจจัยระยะสั้น เช่น ภาษีของ Trump ที่จะทยอยดีขึ้นเอง (เช่น หากมีการเจรจาการค้าสำเร็จ) แต่เป็นภาพสะท้อนปัญหาระยะยาว
3.เศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอจากหนี้ครัวเรือน ในขณะที่โลกกำลังผ่านจุดสูงสุดของโลกาภิวัตน์ ทำให้ไทยไม่เหลือแรงส่งจากทั้งในและต่างประเทศ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้กลับมาเป็นคำถามต่อผู้วางนโยบายเศรษฐกิจของไทยว่า เศรษฐกิจไทยจะโตต่อไปได้อย่างไรในช่วงหลังจากนี้
KKP Research ประเมินว่าภาครัฐต้องไม่ยึดติดกับการทำนโยบายแบบเดิม ๆ และควรต้องมีการประสานด้านนโยบาย ตัวอย่างที่น่าสนใจคือบทเรียนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ภายใต้แนวคิด Abenomics เพื่อตอบสนองต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างยืดเยื้อ ถูกจัดวางภายใต้กรอบ “ลูกศรสามดอก” อันประกอบด้วยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายที่เน้นเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อ นโยบายการคลังแบบขยายตัว และการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ
บทเรียนของญี่ปุ่นเป็นตัวอย่างว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีความครบถ้วนทั้งในมิติของระยะสั้นและระยะยาว และต้องมีทั้งนโยบายด้านอุปสงค์และนโยบายด้านโครงสร้าง การใช้นโยบายการเงินหรือการคลังเพียงอย่างเดียวไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางของเศรษฐกิจได้ หากขาดการปฏิรูปเชิงโครงสร้างควบคู่กันไป