
สินเชื่อหดตัวหนักติดต่อกัน 3 ไตรมาส ลามกระทบรายได้ค่าธรรมเนียม “ศูนย์วิจัยกสิกรฯ” ประเมินปีนี้ รายได้ค่าฟีแบงก์ทั้งระบบ 1.84 แสนล้านบาท “ไม่โต-เสี่ยงติดลบ” หากเศรษฐกิจไทยซบยาว แบงก์ดิ้นหารายได้ค่าฟีทุกช่องทางชดเชย “เร่งออกบัตรเครดิต/เดบิต ขายหุ้นกู้-กองทุนรวม” ฐากร-ttb ยอมรับรายได้ค่าฟีท้าทายมาก ฟาก “กรุงศรี” เจาะรายได้ค่าฟีลูกค้าธุรกิจ
สินเชื่อหด 3 ไตรมาสติด
นางสาวสุวรรณี เจษฎาศักดิ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาพรวมสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ในไตรมาส 1/2568 (ม.ค.-มี.ค.) หดตัวอยู่ที่ -1.3% เป็นการหดตัวติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 โดยมองไปข้างหน้าภาพรวมสินเชื่อยังคงมีความท้าทายจากผลกระทบนโยบายการค้าหลังครบกำหนด 90 วัน จึงต้องรอติดตามใกล้ชิด
ทั้งนี้ สินเชื่อธุรกิจรายใหญ่ยังขยายตัวได้ 1.5% จากภาคอสังหาริมทรัพย์ การเงิน และภาคอุตสาหกรรม รวมถึงภาคการส่งออกที่มีการเร่งส่งออกก่อนนโยบายการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า (Reciprocal Tariffs) ทำให้มีการเบิกใช้วงเงินมากขึ้น ขณะที่สินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) หดตัว -5.5% ส่วนหนึ่งมาจากธนาคารเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ
สำหรับสินเชื่อรายย่อยหดตัว -2.2% ประกอบด้วย สินเชื่อเช่าซื้อหดตัว -10.2% จากไตรมาสก่อน -9.9% ซึ่งธนาคารระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยพบว่ามีสัญญาณเป็นบวกในไตรมาส 1/2568 จากจำนวนยอดรถยึดที่ปรับลดลงและราคารถมือสองที่ปรับดีขึ้น ส่วนบัตรเครดิตหดตัว -1.9% และสินเชื่อบ้านขยายตัวชะลอลงอยู่ที่ 0.2% ในกลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท
ลามกระทบรายได้ค่าฟีแบงก์
นางสาวสุวรรณีกล่าวต่อว่า แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของระบบธนาคารพาณิชย์จะเห็นว่ายังคงพึ่งพาบนการปล่อยสินเชื่อใหม่อยู่ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับธนาคารในต่างประเทศ ทำให้ทิศทางรายได้ค่าฟีแบงก์ปรับลดลงค่อนข้างมาก เมื่อไม่มีการปล่อยสินเชื่อใหม่ นอกจากนี้ รายได้ค่าฟีแบงก์เริ่มลดลงหลังจากมีระบบพร้อมเพย์และค่าธรรมเนียม 0 บาท จากเดิมที่เคยคิดรายการละ 5-10 บาท
อย่างไรก็ดี หากดูทิศทางรายได้ค่าธรรมเนียมคงไม่ได้ปรับลดลงต่อเนื่อง เพราะขณะนี้ธนาคารเองพยายามไปหารายได้ส่วนอื่นมาชดเชย เช่น เสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินเน้นกลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง (Wealth Management) เพื่อสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมมากขึ้น
ส่วนในมุมมองที่อาจเห็นว่าแบงก์มีกำไรสูง ถ้าเข้าไปดูตัวเลขต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าทางบัญชี (P/BV) เทียบกับแบงก์ในภูมิภาค ถือว่ามีสัดส่วนที่ต่ำมาก ซึ่งธนาคารก็พยายามปรับตัว แต่หากมีผลกระทบกับประชาชนรายย่อย ธปท.พร้อมจะเข้าไปดูแล
ค่าฟีแบงก์ปีนี้เสี่ยงติดลบ
นางสาวธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ (Fee Income) ในปี 2568 ของระบบธนาคารพาณิชย์ ประเมินว่า ภาพรวมขยายตัวต่ำกว่าปีก่อน และมีโอกาสทรงตัว หรือไม่เติบโต โดยเฉพาะหากความเสี่ยงเศรษฐกิจซบเซาลากยาวตลอดช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยรายได้ค่าธรรมเนียมในปี 2567 อยู่ที่ 1.84 แสนล้านบาท คิดเป็นการเติบโต 2.4%
ทั้งนี้ รายได้ค่าธรรมเนียมหมวดหลัก ๆ จะมาจากค่าธรรมเนียมจากสินเชื่อ ธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ การโอนเงิน และผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ซึ่งจะเห็นว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อค่อนข้างน้อยหรือยังไม่มาในภาวะนี้ ก็ทำให้รายได้เกี่ยวข้องกับสินเชื่อจะหายไป ส่งผลรายได้ค่าธรรมเนียมไม่โต เป็นไปตามภาวะเศรษฐกิจโดยรวม
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาธนาคารพาณิชย์จะมีรายได้ส่วนอื่นมาช่วยชดเชยรายได้ค่าธรรมเนียมที่ชะลอไป ทำให้รายได้ยังขยายตัว แต่จากโครงสร้างรายได้ค่าธรรมเนียมที่ยังบิดเบี้ยว อาทิ ธุรกรรมการใช้เงินสดหน้าเคาน์เตอร์ มีต้นทุนค่อนข้างสูง แต่ไทยยังไม่สามารถเรียกเก็บได้ เมื่อเทียบกับต่างประเทศที่มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เป็นต้น ก็ทำให้ธนาคารพาณิชย์เริ่มแบกรับไม่ไหว
ดิ้นหาค่าฟีทุกช่องทางชดเชย
นางสาวธัญญลักษณ์กล่าวต่อว่า ตอนนี้ธนาคารพาณิชย์ต้องหาวิธีการหารายได้ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เข้ามาช่วยชดเชย เช่น ต้นทุนค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต/เดบิต ถือว่าค่อนข้างสูง ธนาคารจึงมีเงื่อนไขในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม เพื่อให้ต้นทุนสะท้อนความจริง และให้มียอดการใช้จ่ายผ่านบัตรจริง
หากทำได้ตามเงื่อนไข ธนาคารคงไม่ได้มีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียม หรือธนาคารไปมุ่งเรื่องที่ปรึกษาทางการเงิน (Advisory) มากขึ้น หรือการสร้างแอปพลิเคชั่นที่ช่วยบริหารจัดการเงินให้เป็นหมวดหมู่ โดยลูกค้ายอมจ่าย อาจเก็บเป็นแพ็กเกจ อย่างไรก็ดี รายได้ค่าธรรมเนียมตรงนี้อาจจะยังไม่ได้มากนัก
“ตอนนี้ธนาคารพยายามทำทุกทางในการหารายได้มาช่วยชดเชย เพราะรายได้ดอกเบี้ยส่วนใหญ่จะเป็นดอกเบี้ยค้างรับ ยังไม่เกิดขึ้นจริง ที่ผ่านมาแบงก์พยายามโปะซ้ายโปะขวารายได้ เรามองว่าค่าฟีปีนี้ของแบงก์จะเป็นภาพที่โตต่ำ ซึ่งโตน้อยมาหลายปีแล้ว คาดว่าในอนาคตก็ยังโตต่ำอยู่ เพราะรายได้ที่ลิงก์กับสินเชื่อ หุ้นกู้ หรือการขายประกัน คนยังมีความกังวลและไม่มั่นใจในเศรษฐกิจ จึงชะลอลงทุนและใช้จ่าย ซึ่งเศรษฐกิจไม่ดี สินเชื่อไม่มา รายได้พวกนี้ก็ไม่โตตาม”
ttb ปรับกลยุทธ์พยุงรายได้
นายฐากร ปิยะพันธ์ ผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทหารไทยธนชาต หรือ ttb กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ทิศทางรายได้ค่าธรรมเนียมในปีนี้มีความท้าทายสูง เนื่องจากมีค่าฟีหลายตัวจะเกิดขึ้นพร้อมกับสินเชื่อ แต่เมื่อสินเชื่อหดตัว ค่าฟีก็ลดลงด้วย รวมทั้งรายได้จากการกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็มของนักท่องเที่ยวก็ลดลงด้วย ตามการหายไปของจำนวนนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ดี จากการที่ธนาคารออกผลิตภัณฑ์บัตรเดบิตและบัตรเครดิต ดิสนีย์ ทั้งสองตัวนี้มีการคิดค่าธรรมเนียมรายปีและค่าธรรมเนียมออกบัตร แต่ให้สิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่า จึงเห็นการเติบโตของทั้งสองผลิตภัณฑ์ที่ดี ทางธนาคารก็คาดหวังที่จะสามารถเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมได้มากขึ้น
ขณะเดียวกัน ธนาคารพยายามที่จะเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมในส่วนของการลงทุนผ่านกองทุนรวม เพราะปัจจุบันตลาดกองทุนรวมยังเห็นการเติบโต จากทิศทางดอกเบี้ยลดลง ส่งผลให้คนพยายามมองหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น
“ตอนนี้ได้รายได้ค่าฟีจากบัตรดิสนีย์ เข้ามาช่วยได้เยอะ แต่จำนวนยังขึ้น ๆ ลง ๆ ส่วนกรณีที่เห็นว่าในตลาดตอนนี้มีการทยอยออกบัตรเดบิตลายแคแร็กเตอร์ออกมา มองว่าส่วนหนึ่งเป็นการหารายได้ค่าฟี และน่าจะเป็นการเจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น และกระตุ้นการใช้จ่ายออนไลน์ โดยเฉพาะกับคนที่ยังไม่สามารถมีบัตรเครดิต แต่ยังต้องการซื้อของออนไลน์ด้วย” นายฐากรกล่าว
กรุงศรีเน้นค่าฟีธุรกิจใหญ่
นายประกอบ เพียรเจริญ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่และวาณิชธนกิจ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มรายได้ค่าธรรมเนียมของธุรกิจขนาดใหญ่ยังคงเติบโตได้ค่อนข้างดี และปีนี้แบงก์ยังคงตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากธนาคารมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินค่อนข้างมาก ทั้งโกลบอลมาร์เก็ตส์ และธุรกรรมเงินตราต่างประเทศ (FX)
ซึ่งจะเห็นว่าในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนกลุ่มธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับ FX รายได้จะค่อนข้างดี เพราะลูกค้าหรือผู้ประกอบการหันมาทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น รวมถึงรายได้ที่ได้จากธุรกรรมวาณิชธนกิจ (IB) ก็ยังเติบโตดี