เศรษฐกิจโตต่ำ-ผู้บริโภครัดเข็มขัดจับจ่าย โบรกชี้ฉุดกำไรหุ้นค้าปลีกครึ่งปีหลัง

คลาด ธุรกิจค้าปลีก

เศรษฐกิจโตต่ำ-ผู้บริโภครัดเข็มขัดจับจ่าย “บล.เอเซีย พลัส” ชี้ฉุดกำไรหุ้นค้าปลีกครึ่งปีหลัง หั่นกำไรสิ้นปีเหลือ 6.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 8% ปรับลดน้ำหนักลงทุนหุ้นค้าปลีกลงจาก “มากกว่าตลาด” เป็น “Neutral”

นางสาวปิยะธิดา สนธิสมบัติ นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า ในงวดไตรมาส 1/2568 หุ้นในกลุ่มพาณิชย์ (ค้าปลีก) มีกำไรสุทธิรวมกันอยู่ที่ 1.96 หมื่นล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า (QOQ) เพิ่มขึ้น 26% เทียบจากช่วงเดียวกันปีก่อน (YOY) โดยหุ้นที่ศึกษา 7 หุ้น ประกอบด้วย

  1. บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC)
  2. บมจ.คอมเซเว่น (COM7)
  3. บมจ.เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC)
  4. บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL)
  5. บมจ.ซีพี แอ็กซ์ตร้า (CPAXT)
  6. บมจ.โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO)
  7. บมจ.ดูโฮม (DOHOME)

Q1 กำไร 1.66 หมื่นล้าน

มีกำไรสุทธิรวมกันราว 84% ของกำไรสุทธิโดยรวมทั้งหมดของกลุ่ม หรือคิดเป็น 1.66 หมื่นล้านบาท ลดลง 7% QOQ และเพิ่มขึ้น 17% YOY ทั้งนี้หากไม่รวมรายการพิเศษ พบว่า มีกำไรปกติรวมกันราว 1.56 หมื่นล้านบาท ลดลง 7% QOQ และเพิ่มขึ้น 14% YOY โดยกำไรปกติที่ลดลง QOQ เป็นเพราะผลเชิงลบของฤดูกาล เมื่อเทียบกับในไตรมาสก่อนหน้า ที่การจับจ่ายสินค้าได้อานิสงส์จากเทศกาลส่งท้ายปี ทำให้ในงวดไตรมาส 1/2568 เกือบทุกบริษัทมีกำไรปกติที่ตกต่ำลงจากไตรมาสก่อน ยกเว้น CPALL และ DOHOME ที่มีกำไรโต QOQ ได้

CPALL ที่มีผลประกอบการดีขึ้น QOQ เพราะได้แรงหนุนจากอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิ้น) ที่สูงขึ้น ตามสัดส่วนการขายที่เพิ่มขึ้นของสินค้าที่สร้างมาร์จิ้นให้สูง เช่น อาหารพร้อมทาน (Ready To Eat) และของใช้ส่วนตัว ส่วน DOHOME ฟื้นตัวแรงในไตรมาส 1/2568 เพราะยอดขายได้ประโยชน์จาก Easy E-receipt และการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 และฤดูเก็บเกี่ยวที่สิ้นสุดลงในช่วงปลายปี ซึ่งหนุนกำลังซื้อโดยเฉพาะในต่างจังหวัดที่เป็นลูกค้าเป้าหมายหลักของบริษัท

ขณะที่มาร์จิ้นสูงขึ้น ตามราคาเหล็กที่เป็นหนึ่งในสินค้าหลักปรับตัวสูงขึ้นและหากเทียบ YOY กำไรปกติโดยรวมของหุ้นที่เราศึกษายังโตได้ดี เพราะผลการดำเนินงานเกือบทุกบริษัทโตดีขึ้น ยกเว้น CRC และ HMPRO ที่ค่อนข้างทรงตัว โดยภาพรวมมีแรงหนุนจากการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 และเทศกาลตรุษจีน โดยหุ้นที่มีกำไรปกติเติบโตเด่นสุด YOY ในงวดไตรมาส 1/2568 คือ COM7 เพิ่มขึ้น 30% YOY รองลงมาคือ BJC และ CPALL ที่ทั้ง 2 บริษัทมีกำไรปกติโตราว 26% YOY

ทั้งนี้ COM7 มีกำไรปกติโตแรง เพราะมีทั้งยอดขายและมาร์จิ้นที่สูงขึ้น โดยยอดขายได้แรงหนุนจาก Easy E-receipt และการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 ส่วนมาร์จิ้นที่ดีขึ้นเพราะการปิดสาขาที่ไม่สร้างกำไร เช่นเดียวกันกับ CPALL ที่มีทั้งยอดขายและมาร์จิ้นที่สูงขึ้น โดยมีการเติบโตของยอดขายจากสาขาเดิม (SSSG) ที่ 3% ถือว่าแกร่งสุดในกลุ่ม บวกกับยอดขายจากสาขาใหม่ที่เพิ่มจาก 14,730 แห่ง เมื่อไตรมาส 1/2567 อีก 700 แห่ง เป็น 15,430 แห่ง ในไตรมาส 1/2568

ADVERTISMENT

ส่วนกำไรของ BJC ถูกผลักดันจากมาร์จิ้นที่สูงขึ้นในเกือบทุกธุรกิจ (ธุรกิจบรรจุภัณฑ์, ธุรกิจเวชภัณ์และการแพทย์ รวมทั้งธุรกิจสินค้าอุปโภคและบริโภค) ยกเว้นธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (BigC) ซึ่งมีมาร์จิ้นต่ำลง หลังการขายสินค้าที่ไม่ใช่อาหาร (Non-food) ซึ่งสร้างมาร์จิ้นสูง มีสัดส่วนลดลง

ศก.โตต่ำ-ผู้บริโภครัดเข็มขัด ฉุดกำไรค้าปลีก

สำหรับกำไรในช่วงที่เหลือของปี 2568 คาดจะมีปัจจัยลบเข้ามากดดันยอดขายมากขึ้น โดยปัจจัยที่สำคัญ คือ 1. ภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มโตต่ำ เนื่องจากดัชนีค้าปลีก (RSI) ของไทย มักมีการเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยช่วง 15 ปีที่ผ่านมา (ปี 2552 – 2567) มีค่าสหสัมพันต์ (Correlation) กันที่ 79% แต่ดัชนีค้าปลีกมักจะมีการเปลี่ยนแปลง “ขึ้น-ลง” ที่แรงกว่าการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ

และจากตัวเลข GDP งวดไตรมาส 1/2568 ซึ่งออกมาที่ 3.1% บวกกับข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2568 จะเติบได้เพียง 1.3 – 2% (ต่ำกว่าปีก่อนที่โต 2.5%) จะมีความหมายเป็นนัยว่าช่วงที่เหลืออีก 3 ไตรมาสของปี 2568 จีดีพีจะมีการเติบโตเฉลี่ย 0.7 – 1.63% ต่อไตรมาสเท่านั้น ซึ่งจะต่ำกว่าการเติบโตในไตรมาส 1/2568 จึงเชื่อว่าดัชนีค้าปลีกของไทยจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่เป็นขาลงเช่นเดียวกัน ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันยอดขายของหุ้นในกลุ่มพาณิชย์

2. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับลดลงติดต่อกัน 2 เดือน คาดฉุดยอดการจับจ่าย โดยจากการศึกษาข้อมูลย้อนหลัง 15 ปี พบว่าการเติบโตของดัชนียอดค้าปลีกของไทย มีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวกันกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งดัชนีค้าปลีกโดยรวมสำหรับในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2568 ได้ปรับลด MOM อย่างต่อเนื่องแล้ว 2 เดือน นับจากเดือน ก.พ. 2568 ซึ่งอยู่ที่ 52.0 เหลือ 50.8 ในเดือน มี.ค. 2568 และลดลงต่ออีกเหลือ 48.8 ในเดือน เม.ย. 2568 ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ไม่เชื่อมั่น

นอกจากนี้ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตได้ลดลงตั้งแต่ มี.ค. 2568 ต่อเนื่องมาในเดือน เม.ย. 2568 เช่นกัน โดยลดจาก 57.4 ในเดือน มี.ค. 2568 เหลือ 55.9 และ 54.4 ในเดือน มี.ค. 2568 และ เม.ย. 2568 (ตามลำดับ) ซึ่งบ่งชี้ว่าผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นที่น้อยลงต่อภาวะเศรษฐกิจในระยะถัดไป (3 – 6 เดือนข้างหน้า) ซึ่งจะฉุดยอดการจับจ่ายของผู้บริโภค จึงเชื่อว่าดัชนีค้าปลีก รวมทั้งยอดขายในช่วงไตรมาส 2-3/2568 ของหุ้นในกลุ่มพาณิชย์มีแนวโน้มจะเติบโตได้ต่ำลงเช่นกัน

3. SSSG เม.ย. 2568 – กลาง พ.ค. 2568 ภาพโดยรวมทั้งกลุ่มชะลอตัว แต่ยังมี CPALL ดูเด่นสุด โดยประเมินว่าภาพรวมของ SSSG สำหรับช่วงไตรมาส 2/2568 จะชะลอลง YOY ซึ่งแย่กว่าไตรมาส 1/2568 ที่ยังมี SSSG ที่เติบโตได้ เนื่องจากกำลังซื้อที่อ่อนแอลงในงวดไตรมาส 2/2568 เพราะถูกฉุดจากปัจจัยดังต่อไปนี้

1. ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างในไตรมาส 1/2568 กล่าวคือ ไม่มี Easy E-receipt ที่ให้สิทธิการลดหย่อนภาษี สำหรับการใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าทั่วไป 30,000 บาท และสินค้าโอท็อป 20,000 บาท ไม่มีการแจกเงิน 10,000 บาท อย่างในไตรมาส 1/2568 ที่มีการแจกเงิน เฟส 2 หลังการแจกเงินเฟส 3 ถูกเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด

2. ในงวดไตรมาส 2/2568 มีฝนที่ตกเร็วกว่าปีก่อน เป็นอุปสรรคต่อการออกไปจับจ่ายนอกบ้าน และ 3. จำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลงตามฤดูกาลโดยช่วง เม.ย. 2568 ยอดนักท่องเที่ยวลดลง 6% YOY และลดลง 16% YOY ในช่วง 1 พ.ค. – 18 พ.ค. 2568

ทั้งนี้ SSSG ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 2/2568 (เม.ย. – พ.ค.) ของหุ้นเกือบทุกตัว ยกเว้น CPALL ที่คาดจะยังมี SSSG ที่เติบโตได้ในช่วงดังกล่าว

หั่นกำไรสิ้นปีเหลือ 6.3 หมื่นล้าน โต 8%

ทั้งนี้เนื่องจากก่อนหน้านี้ ได้ปรับลดประมาณการกำไรของหุ้นค้าปลีกไปเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้น COM7 และ HMPRO ส่งผลให้คาดการณ์กำไรสุทธิปรับลดจากเดิมราว 8% เหลือ 6.3 หมื่นล้านบาท หรือโตขึ้นเพียง 8% ซึ่งคาดจะใกล้เคียงกับการเติบโตของตลาด จึงต้องปรับลดน้ำหนักการลงทุนสำหรับหุ้นค้าปลีกลงจาก “มากกว่าตลาด” เป็น “Neutral”

เลือก CPALL เป็น top pick เพราะ 1. ระยะสั้นเป็นหุ้นที่คาดมีการเติบโตของกำไรในไตรมาส 2/2568 ที่โตทั้ง QOQ และ YOY จาก SSSG ที่แกร่งสุด และอัตรามาร์จิ้นยังมีแนวโน้มสูงขึ้น จากสัดส่วนการขายสินค้าอาหารพร้อมทาน (Ready To Eat) ที่คาดจะยังเพิ่มขึ้น และ 2. ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายด้วย PER ปี 2568 ที่ 16.2 เท่า หรือราว -2.2 S.D จากค่าเฉลี่ย 3 ปีก่อน