
“ดร.นิเวศน์” ตั้งท่าปรับพอร์ตลดสัดส่วนหุ้นไทย-หันลุยหุ้นโลก เล็งลงทุนหุ้นเทค “จีน-สหรัฐ” รวมถึงแบรนด์เนมหรูยุโรป ชี้รอจังหวะภาษี “ทรัมป์” ชัดเจน รับสภาพช่วงนี้พอร์ต “หุ้นไทย-เวียดนาม” ติดลบ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า (Value Investor) ที่มีพอร์ตลงทุนเกือบหมื่นล้านบาท เปิดเผยว่า จากสถานการณ์โลกยังมีความไม่แน่นอนสูง โดยเฉพาะจากเรื่องมาตรการภาษีของทรัมป์ ตนจึงยังไม่กล้าลงทุนหุ้นโลกช่วงนี้ แต่หากมาตรการภาษีเริ่มเห็นความชัดเจนและผ่านพ้นไปได้ ก็วางแผนจะขายหุ้นไทย เพื่อลดสัดส่วนให้เหลือราว 30% แล้วนำเงินส่วนนั้นไปลงทุนหุ้นโลกแทน
“ตอนนี้มีเงินสดที่พร้อมลงทุนอยู่แล้ว ฉะนั้นคาดว่าจะแบ่งเงินสดบางส่วน ก็หลายร้อยล้านบาท ไปลงทุนผ่าน DR (ตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ) เนื่องจากไม่โดนภาษี หรือลงทุนผ่านกองทุนรวม คาดว่าส่วนใหญ่แล้ว คงจะลงทุนผ่าน DR เป็นหลักมากกว่า”
ทั้งนี้ การลงทุนก็คงเน้นเลือกหุ้นเป็นตัว ๆ ไม่ได้เน้นลงทุนเป็นเซ็กเตอร์ และคาดว่าจะลงทุนจำนวนไม่มาก อาจจะประมาณ 4-5 ตัว เป็นสูตรเดียวกันหมดทุกตลาด อย่างตอนนี้ที่ลงทุนในหุ้นเวียดนาม ก็มีอยู่แค่ 6-7 ตัว ส่วนหุ้นไทยก็ลงทุนอยู่ 6-7 ตัว
สำหรับหุ้นที่สนใจอยู่ คือ หุ้นจีน เช่น Alibaba, Tencent ที่เป็นบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีน เป็นต้น ขณะที่หุ้นยุโรป เช่น LVMH (เจ้าของ Louis Vuitton และสินค้า Luxury อันดับ 1 ของโลก) เป็นต้น ส่วนหุ้นอเมริกา เช่น Microsoft เป็นต้น
“เกณฑ์ที่ใช้ตัดสินใจลงทุนคือ ต้องเป็นหุ้นที่อยู่รอดได้ ขายได้ และราคาหุ้นไม่แพง ซึ่งการจะตัดสินใจลงทุน ต้องไปพิจารณาในจังหวะเวลานั้น ๆ อีกที เพราะเน้นลงทุนและถือยาว หลังจากนั้นค่อย ๆ มาดูพอร์ตตัวเองทั้งหมดอีกทีว่า พอผ่านไปแล้ว 1-2 ปี จะปรับพอร์ตลงทุนอย่างไรบ้าง จะไม่ได้เปลี่ยนอะไรเร็ว ๆ เช่น ปีหนึ่ง ๆ ก็อาจจะเปลี่ยนหุ้นสัก 1-2 ตัวเท่านั้น แต่ในระยะยาวจะพยายามรักษาสัดส่วนของ 3 พอร์ตหลักไว้ตามแผนเดิม”
ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า พอร์ตหุ้นไทยของตนเอง ณ เวลานี้ ติดลบอยู่ประมาณ 3-4% เทียบจากต้นปี 2568 ขณะที่พอร์ตหุ้นเวียดนาม ติดลบหนักกว่า ประมาณ 15% ถือว่า Underperform ตลาดมาก (ตลาดเวียดนาม +5%) สาเหตุหลักมาจากหุ้นที่เคยขึ้นแรงมากเมื่อปีก่อน ได้ปรับตัวลงในปีนี้ อย่างไรก็ดี ตนเองคงไม่ได้ปรับอะไรตอนนี้ เพราะมองผลตอบแทนในระยะยาว ไม่ได้คาดหวังว่าพอร์ตลงทุน จะดีทุกปี
ทั้งนี้ แผนการลงทุนในระยะยาว ยังคงวางเป้าหมายในการจัดสรรพอร์ตลงทุนออกเป็น 3 ส่วนหลัก คือ 1.ลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม 30% 2.ลงทุนในตลาดหุ้นไทย 30% และ 3.ลงทุนในตลาดหุ้นโลก 30% ส่วนที่เหลืออีก 10% จะเป็นการถือเงินสด
โดยปัจจุบัน การลงทุนในหุ้นเวียดนามเป็นไปตามแผนแล้ว 30% ผ่านทางบริษัท ตีแตก จำกัด รวมถึงได้ถือเงินสด 10% ไว้แล้ว แต่พอร์ตหุ้นไทยยังมีสัดส่วนการลงทุนอยู่สูงกว่า 50% ซึ่งจะปรับบางส่วนไปลงทุนในหุ้นโลก เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ชัดเจนขึ้น
ดร.นิเวศน์ กล่าวว่า หุ้นไทยวันนี้ ต้องยอมรับว่า มีมูลค่า (Value) แต่ขาดการเติบโต (Growth) เหมือนกับว่าการเติบโตหายไป จึงเหลือแต่มูลค่าและไม่ได้พูดถึงรากฐานว่าจริง ๆ การเติบโตมาจากไหน โดยปัญหาสำคัญ มี 3 เรื่องหลัก คือ 1.ประชากรศาสตร์ คนเกิดน้อยลงและตายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เงินในกระเป๋าลดลง ฉะนั้นจึงต้องรีบช่วยกันมีลูกเพื่อเพิ่มประชากรให้ GDP เพิ่มขึ้น
2.ระบบการศึกษา คนทำงานเก่งขึ้นจากการใช้เครื่องจักร แต่มีเงินเดือนน้อย จึงต้องเพิ่มประสิทธิภาพคนไทยด้วยภาษาอังกฤษหรือภาษาที่สองหรือสามให้มากขึ้น และ 3.รัฐบาล โดยการศึกษาทั่วโลก พบว่าการพัฒนาเศรษฐกิจการเติบโตของทั่วโลกอยู่ที่รัฐบาล ซึ่งระบบการปกครองหรือรัฐบาลที่ดีจะทำให้ประเทศนั้น ๆ เจริญขึ้นชัดเจน โดยประเทศไทยในแง่การปกครองตอนนี้ เทียบกับประเทศอื่นไม่ได้
“ต้องแก้ไขทั้ง 3 เรื่องนี้ให้ได้ เพราะนาทีนี้หุ้นไทยเป็นมูลค่าที่ไม่มีการเติบโต ที่ต่างชาติมองอยู่ ซึ่งต่างชาติมองว่าหากเป็นประเทศที่กำลังพัฒนาจะต้องมีการเติบโต หากไม่มีการเติบโตก็ไม่มีใครอยากเข้ามาหุ้นไทย”
โดยพอร์ตหุ้นไทยของตนเอง ถือเป็นกองหลัง ซึ่งจะพยายามรักษาให้มีรายได้ ปันผลสม่ำเสมอ อาจจะปีละ 5-7% ขณะที่หุ้นโลก เป็นกองกลาง โดยโลกถือว่าเติบโตได้ และมีบริษัทดีที่ค้าขายทั่วโลก เช่น META, Louis Vuitton รวมถึงหุ้นจีน เป็นต้น ที่มีการค้าขายทั่วโลกและเป็นที่รู้จักและมั่นคงมาก โดยกระจายไป 5-6 ตัว อาจจะได้ 10% ต่อปี
ส่วนเวียดนาม จะเป็นกองหน้า เพราะเติบโตเร็ว แต่มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน เพราะมีปัญหาในประเทศค่อนข้างเยอะ จึงมีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี เช่น ที่ไทยเคยเป็นเมื่อ 20 ปีก่อน
“ต้องยอมรับความเป็นจริงว่า ประเทศไทยโอกาสที่จะเปลี่ยนมาโตเร็ว ยากมาก ผมจึงลงเฉพาะหุ้นปันผล 1 ใน 3 ของพอร์ตลงทุนผม 1 ปี จะมีปันผลให้ใช้ มั่นคงและไม่มีเรื่องค่าเงินหากไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งหุ้นไทยเรารู้จัก อาจจะไม่โตเร็ว แต่จ่ายปันผลทุกปี และมั่นคงแน่นอน”