Virtual Bank ไทย…มีเท่าไหร่ถึงพอ ?

pca_Cover_photo4
คอลัมน์ : เปลี่ยนเศรษฐกิจไทย
ผู้เขียน : ดร.สมประวิณ มันประเสริฐ

ไทยกำลังจะมีสถาบันการเงินรูปแบบใหม่ที่มีชื่อว่า “Virtual Bank” ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศว่า จะเริ่มเปิดให้ภาคเอกชนยื่นขอจัดตั้ง Virtual Bank ภายในปี 2024 โดยในช่วงเริ่มต้น ธปท.จะให้ใบอนุญาตกับผู้ให้บริการ “3 ราย” ที่จะเปิดให้บริการภายในปี 2026

Virtual Bank หรือ ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา ให้บริการทางการเงินผ่านช่องทางดิจิทัล โดยไม่มีสาขาที่มีสถานที่ตั้งทางกายภาพ จุดเด่นของ Virtual Bank คือการใช้ข้อมูลและเทคโนโลยีสารสนเทศในการออกแบบและเสนอขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน เช่น การใช้ข้อมูลธุรกรรมทางการเงินของผู้กู้ในการออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่อและประเมินความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้

คุณลักษณะทั้งหมดนี้ ทำให้ Virtual Bank ตอบโจทย์การพัฒนาทางการเงินถึง 2 ข้อ คือ (1) ส่งเสริมให้คนในระบบเศรษฐกิจเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบอย่างทั่วถึงขึ้น และ (2) สามารถผลักดันให้เกิดการแข่งขันภายในระบบธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคาดหมายว่าจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงินของระบบ ธพ. คนส่วนใหญ่น่าจะเห็นตรงกันว่า Virtual Bank จะสร้างประโยชน์ให้กับระบบเศรษฐกิจไทย

แต่ที่ยังเป็นประเด็นถกเถียงกันอยู่ คือ ไทยควรมี Virtual Bank กี่แห่ง ?

ทำไม ธปท. จึงเริ่มอนุญาตแค่ 3 ราย แทนที่จะอนุญาตผู้ให้บริการจำนวนมากเข้ามาแข่งกัน๊

มาหาคำตอบด้วยกันครับ

จำนวนไม่สำคัญเท่าคุณภาพ ในทางทฤษฎี การแข่งขันเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ ธพ. โดยจะสร้างแรงจูงใจให้ ธพ. แข่งขันกันปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อสร้างรายได้ดอกเบี้ย และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเพื่อระดมเงินฝากส่งผลให้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากปรับลดลง (Freixas and Rochet, 1997) 2 กล่าวคือ คนในระบบเศรษฐกิจจะได้รับบริการทางการเงิน ณ ต้นทุนที่ต่ำลง

แล้วข้อมูลจริงเป็นอย่างไร ?

ทั้งนี้จะพบว่า การแข่งขันกับประสิทธิภาพไม่ได้ไปด้วยกันเสมอไป มีหลายประเทศที่การแข่งขันสูง แต่ประสิทธิภาพกลับไม่สูงตาม เช่น บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา และปารากวัย ในทางตรงข้ามกลับมีหลายประเทศที่การแข่งขันต่ำ แต่กลับมีประสิทธิภาพสูง เช่น ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก

ADVERTISMENT

จึงไม่อาจสรุปว่าการแข่งขันกับประสิทธิภาพสัมพันธ์กันในทิศทางใด

ทำไมการแข่งขันกับประสิทธิภาพถึงไม่ไปด้วยกันในเชิงประจักษ์ ผมคิดว่ามีคำอธิบายที่เป็นไปได้ 3 ประการ

ประการแรก จำนวนหรือขนาดของ ธพ. ไม่ได้วัดการแข่งขันอย่างครบถ้วนทุกมิติ

ดัชนีไม่สามารถสะท้อนรูปแบบและความเข้มข้นในการแข่งขัน ยกตัวอย่าง เช่น ฝรั่งเศส ที่มี ธพ.ขนาดใหญ่มาก 2 ราย นั่นคือ BNP Paribas และ Credit Agricole แข่งขันกันอย่างเข้มข้น แม้สัดส่วนสินทรัพย์ของ ธพ. ขนาดใหญ่จะสูง แต่ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิกลับต่ำกว่าประเทศอื่น

ประการที่สอง การแข่งขันสมบูรณ์อาจไม่ได้ดีที่สุดเสมอไป เพราะ ธพ.ที่มีอำนาจตลาด จะมีลูกค้าที่ทำธุรกรรมกับ ธพ. อยู่เป็นประจำ จึงสามารถเก็บสะสมข้อมูลทางการเงิน และใช้ประโยชน์จากข้อมูลในการออกแบบบริการทางการเงิน

นอกจากนี้ ธพ.ที่มีอำนาจตลาดจะมีขนาดใหญ่เพียงพอที่จะได้รับอานิสงส์จากความประหยัดต่อขนาด (Economies of Scale) จึงสามารถให้บริการ ณ ต้นทุนที่ต่ำกว่าตลาดแข่งขันสมบูรณ์ (Cetorelli and Peretto, 2000)

ประการที่สาม อานิสงส์ของการแข่งขันต่อประสิทธิภาพขึ้นกับโครงสร้างเศรษฐกิจ สังคม การกำกับดูแล และเทคโนโลยีของแต่ละประเทศ ยกตัวอย่างเช่น กรณีของเดนมาร์ก ที่มีธนาคาร Danske Bank ครองสัดส่วนสินทรัพย์สูงกว่า 50% ของสินทรัพย์รวมของ ธพ.ทั้งระบบ แม้สินทรัพย์จะกระจุกตัว แต่ระบบ ธพ. กลับทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หนึ่งใน Success Factor ที่สำคัญ คือ การพัฒนาเทคโนโลยีทางการเงิน การสำรวจของ IMF ในปี 2021 พบว่า ประชากรเดนมาร์กที่มีอายุมากกว่า 15 ปีกว่า 99.93% ใช้ Mobile Payment

เทคโนโลยีทางการเงินช่วยลดต้นทุนในการให้บริการทางการเงิน ส่งผลให้ระบบ ธพ. ของเดนมาร์กทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยสรุป คำถามที่ว่าไทยควรมี Virtual Bank “จำนวน” กี่แห่ง ไม่ได้สำคัญเท่ากับว่าไทยจะเตรียมความพร้อมอย่างไร เพื่อสนับสนุนให้ Digital Banking ทำงานอย่างมี “คุณภาพ” นั่นคือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงิน และเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบเปิดเสรีอย่างค่อยเป็นค่อยไป ดีกว่าเปิดเสรีใหญ่ในครั้งเดียว

คำถามอีกหนึ่งข้อที่ถามทิ้งไว้ คือ ระบบ ธพ.ไทยควรเปิดรับผู้ให้บริการ Virtual Bank จำนวนมากเข้ามาแข่งกันในคราวเดียว หรือจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป

pca_Cover_photo1

การเปิดรับผู้ให้บริการจำนวนมากเข้ามาแข่งกันในคราวเดียวมีข้อดี คือสามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการแข่งขันอย่างเต็มที่ ผู้เล่นน่าจะตื่นตัวในการใช้เทคโนโลยีทางการเงินสมัยใหม่ และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างเข้มข้น ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อผู้รับบริการทางการเงิน

อย่างไรก็ตาม ผลดีอาจไม่ยั่งยืนเพราะการแข่งขันที่เข้มข้นอาจจูงใจให้ผู้ให้บริการทางการเงินเปิดรับความเสี่ยงจนเกินตัว สร้างความเปราะบางให้กับระบบ ธพ. นอกจากนี้ หากมีผู้ให้บริการทางการเงินที่ไม่สามารถแข่งขันต่อได้ตัดสินใจเลิกกิจการอาจเกิดต้นทุนจำนวนมหาศาลต่อระบบเศรษฐกิจไทย ในเบื้องต้น ผู้กำกับดูแลจะต้องเผชิญกับต้นทุนในการชำระบัญชี และการบริหารจัดการ โดยงานศึกษาของ Kang Lowery and Wardlaw (2015) ประมาณการต้นทุนจากการปิดกิจการธนาคารพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาในช่วงปี 1985-1992 โดยพบว่าการปิดกิจการมีต้นทุนเฉลี่ยสูงถึง 25.6 ล้านดอลลาร์ สรอ. ต่อธนาคาร หรือคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 21.9% มูลค่าสินทรัพย์ของธนาคารโดยเฉลี่ย

นอกจากต้นทุนในรูปของตัวเงินแล้ว การปิดกิจการธนาคารพาณิชย์ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของคนที่มีต่อระบบ ธพ. หรือระบบการเงินโดยรวม จึงอาจเกิดการแห่ถอนเงินฝาก หรือการระงับการให้สินเชื่อ

ในขณะที่ต้นทุนทางการเงินก็จะปรับสูงขึ้นตามค่าชดเชยความเสี่ยง ซึ่งล้วนกระทบกับการทำงานของระบบการเงิน และระบบเศรษฐกิจโดยรวม ตามลำดับ

Virtual Bank ที่เศรษฐกิจไทยต้องการ

เราจะเตรียมระบบ ธพ.ไทยอย่างไร เพื่อสนับสนุนให้ Digital Banking เพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการทางการเงิน และเพิ่มการเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบ ? ระบบ ธพ. และระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวมต้องการโครงสร้างเชิงสถาบันที่สร้างแรงจูงใจให้การดำเนินธุรกิจสถาบันการเงินเพื่อแสวงหาผลกำไรให้ผลลัพธ์สอดคล้องกับผลประโยชน์ส่วนรวมของคนในระบบเศรษฐกิจ

หากถอดบทเรียนจากประสบการณ์ต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น จะพบว่าระบบเศรษฐกิจเหล่านี้มีโครงสร้างเชิงสถาบันที่ประกอบไปด้วยรากฐาน 2 ชั้น

รากฐานชั้นแรก ประกอบไปด้วย

1) โครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีที่สมบูรณ์ ทั้งที่เกี่ยวข้องกับประสิทธิภาพของการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เช่น โครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของระบบอินเทอร์เน็ต โครงสร้างพื้นฐานเบื้องหลัง Application Programming Interface ตลอดจนเทคโนโลยีการเก็บข้อมูลและประมวลผลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่

2) การบังคับใช้กฎกติกาที่ปกป้องสิทธิ และรักษาความปลอดภัยในการแลกเปลี่ยนข้อมูล เช่น การประกาศใช้กฎหมายคุ้มครองข้อมูลและความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดและใช้งานได้จริง รากฐานชั้นแรกจะสร้างระบบ ธพ. ที่มีความสมบูรณ์ของข้อมูลข่าวสาร และปลอดภัยซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการประเมินผลตอบแทนและความเสี่ยงของบริการทางการเงิน จึงสนับสนุนให้ ธพ.สามารถเสนอบริการทางการเงินที่ลึกและหลากหลาย สอดคล้องกับผลตอบแทนความเสี่ยงของคนในระบบเศรษฐกิจ

ดังนั้น รากฐานชั้นแรกจึงส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบรากฐานชั้นที่สอง คือ “มีกรอบแรงจูงใจที่สัมฤทธิผล” นั่นคือ การวางกฎกติกา และนโยบายระยะสั้นที่จูงใจให้ ธพ. จัดสรรทรัพยากรทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง กฎหมายที่สำคัญมาก คือ กฎหมายที่ส่งเสริมการแข่งขันในระบบ ธพ. ซึ่งจะต้องเขียนให้สอดคล้องกับรูปแบบ “กึ่งแข่งขันกึ่งผูกขาด” ที่เป็นสมดุลเฉพาะตัวของธุรกิจธนาคาร

นอกจากนี้ การสนับสนุนให้ผู้ให้บริการทางการเงินขนาดเล็กเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร และโครงสร้างพื้นฐานตลอดจนเข้าใจกฎกติกาในการประกอบธุรกิจธนาคาร จะช่วยเพิ่มโอกาสที่ผู้ให้บริการขนาดเล็กที่เพิ่งเข้าสู่ตลาดจะประสบความสำเร็จ และทำให้ความเสี่ยงที่ผู้ให้บริการขนาดเล็กจะเลิกกิจการลดลง

โจทย์สำคัญของระบบการเงินไทยในระยะข้างหน้าเป็นการวางโครงสร้างเชิงสถาบันทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและการกำกับดูแลเพื่อสนับสนุนการทำงานของ Virtual Bank และระบบ ธพ. โดยรวม

จะเป็นรากฐานเชิงสถาบันที่เข้มแข็งช่วยสร้าง “สภาพแวดล้อมั” ที่ปลดล็อกประสิทธิภาพในระบบ ธพ. และ “ปรับแรงจูงใจ” ของผู้เล่นให้สอดรับกับประโยชน์ของระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม

กุญแจสำคัญจึงไม่ใช่ “จำนวน” แต่เป็น “คุณภาพของระบบ ธพ.” ที่ไทยต้องการ