“TEAMG” เทรดหุ้นกรกฎาคม ลุยโรดโชว์8กองทุนสิงคโปร์

“ทีม คอนซัลติ้ง” เดินหน้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ วางแผนเปิด IPO หุ้น “TEAMG” กลางเดือน ก.ค.นี้ ฟุ้งปี”62 รายได้ส่อเค้าโตกว่าปกติที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 10% รับอานิสงส์การลงทุนใน EEC-รถไฟรางคู่-ขยายงานสู่ประเทศเพื่อนบ้าน

นายสมภพ กีระสุนทรพงษ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์ บริษัท ทีมคอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จํากัด (มหาชน) หรือ TEAMG เปิดเผยว่า TEAMG จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 180 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) อยู่ที่ 0.50 บาทต่อหุ้น ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการยื่นเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) อนุมัติแบบคำขออนุญาตการเสนอขายหุ้น ทั้งนี้ คาดว่าจะเสนอขายและเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในกลางเดือน ก.ค.นี้

โดยระหว่างวันที่ 2-3 ก.ค.นี้ TEAMG มีแผนออกไปโรดโชว์ (roadshow) นักลงทุนสถาบันที่ประเทศสิงคโปร์ จำนวน 8 กองทุน เพื่อให้ข้อมูลธุรกิจและข้อมูลทางการเงิน หลังจากก่อนหน้านี้ได้นำเสนอข้อมูลแก่ผู้ลงทุนในประเทศไปแล้วกว่า 16 จังหวัด ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

ชวลิต จันทรรัตน์

นายชวลิต จันทรรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TEAMG กล่าวว่า ในปี 2562 คาดว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตสูงกว่าปกติ จากระดับปัจจุบันที่มีรายได้เติบโตเฉลี่ยที่ 10% ต่อปี เนื่องจากการลงทุนในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และการลงทุนรถไฟรางคู่ จะสนับสนุนให้งานที่ปรึกษาของบริษัทมีการเติบโตที่โดดเด่น รวมถึงการเข้าจดทะเบียนจะทำให้มีโอกาสรับงานก่อสร้างในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นด้วย

สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนจะใช้ลงทุนในระบบคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ และซอฟต์แวร์ของระบบ BIM (ระบบทดลองก่อสร้างแบบ 3 มิติ) ลงทุนเพิ่มจำนวนโดรนเพื่อใช้ดำเนินงาน ซึ่งช่วยเพิ่มศักยภาพการให้บริการ และลงทุนสร้างบุคลากรเพื่อรองรับแผนการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจต่อไป

“ปัจจุบันบริษัทถือเป็นผู้นำด้านการเป็นที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมและสิ่งแวดล้อมที่ครบวงจร ทั้งทรัพยากรน้ำ, อาคารและสาธารณูปโภค, สิ่งแวดล้อม, พลังงาน, คมนาคมและโลจิสติกส์ ซึ่งคาดว่าภายใน 3-5 ปีข้างหน้า จะขึ้นเป็นแท่นเบอร์ 1 ในภูมิภาคอาเซียนได้จากปัจจุบันอยู่ในท็อป 3 ของภูมิภาค” นายชวลิตกล่าว

นายชวลิตกล่าวด้วยว่า แนวโน้มการก่อสร้างในปี 2561-2562 คาดว่างานก่อสร้างภาครัฐจะเติบโตที่ 13-16% ต่อปี ตามความคืบหน้าโครงการขนาดใหญ่ ในขณะที่งานภาคเอกชนจะทยอยฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ ซึ่งคาดว่าจะเติบโตประมาณ 2-4% ต่อปี เนื่องจากตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มปรับตัวดีขึ้นจากการที่ผู้ประกอบการเริ่มกลับมาเปิดโครงการใหม่ ๆ หลังจากชะลอตัวไปในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

โดยช่วงไตรมาส 1/2561 บริษัทมีรายได้รวมที่ 415 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน มีสินทรัพย์อยู่ที่ 1,407 ล้านบาท และมีหนี้สินที่ 951 ล้านบาท โดยมาจากหนี้ภาระดอกเบี้ยจากการกู้เงินสถาบันการเงินเพียง 118 ล้านบาท ส่วนอีก 833 ล้านบาท เป็นเงินรับล่วงหน้า เมื่อโครงการแล้วเสร็จจะรับรู้กลับเป็นรายได้ ซึ่งอาจทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ลดลงจาก 2.08 เหลือเพียง 0.25 เท่า

นอกจากนี้ บริษัทยังมียอดรอรับรู้รายได้ในมือ (backlog) อยู่แล้วกว่า 3,473 ล้านบาท แบ่งเป็น ลูกค้าภาครัฐ 2,371 ล้านบาท ลูกค้าเอกชน 733 ล้านบาท ลูกค้าต่างประเทศ 305 ล้านบาท และลูกค้าธุรกิจเกี่ยวเนื่อง 64 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ทั้งหมดภายในปี 2561-2562 นี้

“ปัจจุบันมีโครงการที่บริษัทอยู่ระหว่างศึกษารายละเอียดและออกแบบ อาทิ ทางด่วนดอนเมือง-รังสิต, ทางด่วนรังสิต-ประตูน้ำพระอินทร์, มอเตอร์เวย์บางใหญ่-กาญจนบุรีเชื่อมต่อทวาย, มอเตอร์เวย์แหลมฉบัง-ปราจีนบุรี, รถไฟรางคู่เชื่อมโยง 3 ท่าเรือในเขตเศรษฐกิจ EEC, รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน” นายชวลิตกล่าว