หุ้นไทย 5 เดือนแรก ร่วง 17.9% นักลงทุนหันพึ่งหุ้นปันผลสูง จับตาเจรจาภาษีสหรัฐ

ตลาดหลักทรัพย์ เผยหุ้นไทยเดือน พ.ค. 68 ร่วง 4% จากปัจจัยเจรจาสหรัฐ-จีน ยังไม่ชัดเจน-MSCI ลดน้ำหนักหุ้นไทย โดยต้นปีติดลบ 17.9% นักลงทุนหันสนใจหุ้นปันผลสูงมากขึ้น จับตาเจรจาไทย-สหรัฐ ก่อนเส้นตาย 90 วัน ชี้หุ้นไทยมูลค่าอยู่ในระดับน่าสนใจ ลุ้นต่างชาติเข้าลงทุน

นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ณ วันที่ 30 พฤษภาคม 2568 SET Index ปิดที่ 1,149.18 จุด ปรับลดลง 4.0% จากเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากกว่าตลาดหลักทรัพย์ส่วนใหญ่ในภูมิภาค ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 ปรับลดลง 17.9% เนื่องจากความผันผวนจากปัจจัยลบทั้งในและต่างประเทศยังคงรบกวนบรรยากาศการลงทุนทั้งในระยะสั้น และระยะกลาง

ผู้ลงทุนอาจหันมาสนใจกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นผลตอบแทนที่มั่นคงจากเงินปันผล ที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีการจ่ายปันผลที่ค่อนข้างสูงและสม่ำเสมอ โดยหากกระจายหุ้นในพอร์ตโฟลิโอไปในกลุ่มธุรกิจที่หลากหลายจะยิ่งช่วยบริหารความเสี่ยงในยามที่ความไม่แน่นอนสูงอีกด้วย

กลุ่มอุตสาหกรรมที่ปรับตัวดีกว่า SET Index เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2567 ได้แก่ กลุ่มการเงิน กลุ่มเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม กลุ่มทรัพยากร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มเทคโนโลยี

มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวันรวมของ SET และ mai อยู่ที่ 43,327 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 9.9% โดยผู้ลงทุนต่างชาติมีสถานะเป็นผู้ขายสุทธิ 16,182 ล้านบาท และยังคงมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายสูงสุดที่ระดับ 55.37% ของมูลค่าการซื้อขายรวม ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการปรับพอร์ตการลงทุนตาม MSCI Rebalance ที่มีด้วยกันสองรอบต่อปีในเดือนพฤษภาคมและพฤศจิกายน ตามลำดับ

Forward P/E ของตลาดหลักทรัพย์ไทย ณ สิ้นพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 12.5 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 12.1 เท่า และ Historical P/E อยู่ที่ระดับ 13.7 เท่า สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ระดับ 13.6 เท่า

อัตราเงินปันผลตอบแทน ณ สิ้นพฤษภาคม 2568 อยู่ที่ระดับ 4.28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ในเอเชียซึ่งอยู่ที่ 3.34%

ADVERTISMENT

ส่วนภาวะตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (TFEX) เดือนพฤษภาคม 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 356,872 สัญญา ลดลง 17.7% จากเดือนก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ SET50 Index Futures ทำให้ในปี 2568 มีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 437,620 สัญญา ลดลง 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สำคัญจากการลดลงของ Single Stock Futures และ Gold Online Futures

นายศรพลกล่าวต่อว่า ในเดือนพฤษภาคม 2568 เริ่มเห็นพัฒนาการด้านการเจรจาการค้าโดยสหรัฐและจีนได้เห็นพ้องที่จะระงับการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (reciprocal tariffs) เป็นเวลา 90 วัน ทำให้ผู้ลงทุนคลายความกังวลจากสงครามการค้าและเงินทุนไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง

ขณะที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ซึ่งควบคุมโดยพรรครีพับลิกัน ได้ลงมติอนุมัติร่างกฎหมายลดภาษีและการใช้จ่ายขนาดใหญ่ ที่เสนอโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “One Big Beautiful Bill” ซึ่งมีบางมาตราอาจกระทบกับการจัดเก็บภาษีผู้ลงทุนต่างชาติในสหรัฐ

ขณะที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) แถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไตรมาสที่ 1/2568 ขยายตัว 3.1% จากการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นจากการเร่งส่งมอบสินค้าก่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐ และการลงทุนภาครัฐที่ฟื้นตัวอย่างโดดเด่น ทำให้บริษัทจดทะเบียน (บจ.) รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2568 โดยภาพรวมมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องจากการขยายตัวของภาคการส่งออก และภาคบริการ เช่น อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าอุปโภคบริโภค ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก ขนส่ง และโทรคมนาคม

นอกจากนี้ บจ. กว่าครึ่งรายงานกำไรสุทธิเท่ากับหรือสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ สาเหตุหลักมาจากการรับได้อานิสงส์จากราคาน้ำมันดิบโลกซึ่งเป็นต้นทุนหลักที่ปรับลดลง นอกจากนี้ รายจ่ายดอกเบี้ยของ บจ. ในไตรมาสล่าสุดยังสะท้อนถึงต้นทุนทางการเงินที่ลดลงสอดคล้องกับการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ขณะที่แนวโน้มเดือนมิถุนายนยังรอต้องจับตาผลการเจรจาระหว่างไทยและสหรัฐที่จะครบกำหนด 90 วัน ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2568 ซึ่งหากมีความชัดเจนจะส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทย รวมทั้งยังต้องผลการตัดสินของศาลอุธรณ์สหรัฐฯกรณีศาลการค้าสหรัฐฯมีคำสั่งยกเลิกมาตรการภาษีตอบโต้

อย่างไรก็ตาม จากการคาดการณ์ GDP ปี 2568 ของ สศช. ที่คาดว่าจะขยายตัวทั้งปี 1.8% ทำให้ครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะชะลอตัวลงมากกว่าครึ่งปีแรก โดยยังต้องจับตานโนบายทางการเงินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากงบประมาณ 1.57 แสนล้านบาทว่าจะเริ่มใช้ได้เมื่อไร นโยบายทางการเงินที่ปีนี้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปแล้ว 2 ครั้ง รวมทั้งผู้ว่าฯ ธปท.คนใหม่ที่จะเข้ามาดำรงตำแหน่ง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสรรหา

“อย่างไรก็ตามมูลค่าหุ้นไทยก็ลงมาต่ำอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ทำให้โอกาสที่หุ้นไทยจะปรับลงรุนแรงก็จำกัด และแม้สภาพคล่องของการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้จะลดลงบ้าง แต่หุ้นไทยยังมีเป็นแชมป์ในภูมิภาคอาเซียน และยังมีโอกาสลุ้นเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ”