ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชู ESG หนุน “ทางรอด” อนาคตธุรกิจไทย

ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
ศาสตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์
สัมภาษณ์พิเศษ

“ผมคิดว่า ‘กำไร’ และ ‘โลก’ ถ้าจะยั่งยืนในระยะยาว ต้องยึดหลัก ESG เป็นแนวทาง เพราะมันเปลี่ยนระบบนิเวศทั้งหมดของประเทศ คงไม่ใช่ทางเลือกแล้ว แต่เป็น ‘ทางรอด’ เท่านั้น ของอนาคตธุรกิจไทย” ศาตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวในการให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ”

ESG “ทางรอด” ธุรกิจไทย

ศาตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์กล่าวว่า ESG หรือ Environmental (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม), และ Governance (ธรรมาภิบาล) ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก ที่จะทำให้ธุรกิจไทยเติบโตได้อย่างยั่งยืนในอนาคต เพราะต่อไปจะมีการบังคับใช้กฎหมาย พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่จะเข้ามากระทบ รวมทั้งแนวโน้มภาษีคาร์บอนทั่วโลกที่จะกดดัน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) หากไม่ปรับตัว

ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้ บจ.เตรียมการมาพอสมควร โดยเริ่มจากความสมัครใจก่อน ในการกรอกข้อมูลรายงานการใช้และลดคาร์บอน กิจกรรมที่ทำ เข้าไปในแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (แบบ 56-1 One Report) รวมทั้งกำหนดให้มีคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ที่ดูแลเรื่องนี้ขึ้นมา

อย่างไรก็ดี ต้องยอมรับว่าความพร้อมของ บจ.ในปัจจุบันอาจยังไม่ถึง 50% ของ บจ.ทั้งตลาด ที่รายงานข้อมูล ESG ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ วางเป้าหมายว่าภายใน 2-3 ปี ทุก บจ.ต้องเข้าร่วมทั้งหมด โดยสาเหตุของความไม่พร้อม คือบริษัทหลายแห่งยังคิดว่าการลงทุนในเรื่องเหล่านี้ไม่คุ้มค่า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทขนาดเล็กในตลาดหลักทรัพย์ mai ส่วนหนึ่งคือขาดเงินลงทุนในการดำเนินการด้าน ESG และอาจไม่มีฝ่ายงานเฉพาะที่ดูแลเรื่องนี้ ในขณะที่บริษัทขนาดใหญ่ไม่มีปัญหา เพราะต้องทำอยู่แล้ว ตามหลัก 3P คือ ผู้คน (People), โลก (Planet), กำไร (Profit)

“เรื่องนี้ดูเหมือนเป็นเรื่องไกลตัว แต่ว่าจริง ๆ แล้วไม่ได้ไกลตัวเลย ดังนั้น วันนี้ บจ.ทุกแห่งต้องรีบพร้อมได้แล้ว เพราะถ้าต่อไป ก.ล.ต.เริ่มบังคับ และตลาดหลักทรัพย์ฯ สั่งให้เปิดเผยข้อมูลก็จะลำบาก หากไม่ยอมดำเนินการก็อาจต้องออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ไปในที่สุด”

รัฐหนุน “ภาษี-เงินทุน” ส่งเสริม ESG

ที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการเตรียมความพร้อมด้าน ESG คือแรงจูงใจด้านภาษี ซึ่งปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ออกมาตรการให้ธุรกิจเอสเอ็มอี (SMEs) ได้รับสิทธิประโยชน์ภาษีเพิ่มขึ้น จาก 3 ปี เป็น 5 ปี สำหรับการลงทุนเรื่อง ESG รวมถึงรัฐบาลยังมีเงินทุนรองรับการปล่อยกู้อยู่ประมาณ 2,000 ล้านบาท สำหรับบริษัทที่จะดำเนินการเรื่อง ESG และเข้าเกณฑ์ BOI

ADVERTISMENT

“เชื่อว่าการสร้างแรงจูงใจเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะจะสนับสนุนให้บริษัทเล็ก ๆ ที่อาจมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสามารถมีแหล่งทุนเพื่อไปดำเนินการเรื่องเหล่านี้ได้มากยิ่งขึ้น และผมก็เชื่อว่าต่อไป Growth Rate ของ บจ.ที่จะรายงานข้อมูลเรื่อง ESG ก็จะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน”

เตรียมพร้อม “ตลาดคาร์บอนเครดิต”

ในส่วนการรองรับตลาดคาร์บอนเครดิตนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เริ่มสร้างแพลตฟอร์ม “ESG Data Platform” มาได้ประมาณ 3 ปี เพื่อเป็นแพลตฟอร์มกลางที่ช่วยคำนวณข้อมูล ESG ของ บจ. โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลการใช้และลดคาร์บอน ซึ่งข้อมูลพวกนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้นำมาจัดทำเป็นดัชนี SET ESG Rating ในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ ได้จับมือพันธมิตร FTSE Russell (ฟุตซี่ รัสเซล) ของตลาดหลักทรัพย์ลอนดอน (LSEG) เพื่อนำกรอบการให้คะแนนความยั่งยืนใหม่มาใช้กับ บจ. เพื่อมุ่งหวังที่จะปรับปรุงมาตรฐานการรายงานความยั่งยืน โดยเริ่มนำร่องไปในปี 2567-2568 และจะประกาศผลคะแนน ESG สู่สาธารณะตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป

“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดตั้ง ESG Academy เพื่อมุ่งหวังอบรมให้ บจ. และเจ้าหน้าที่บริหารเห็นถึงความสำคัญเรื่อง ESG”

“เทรดคาร์บอนเครดิต” ใน 1-2 ปี

ศาตราจารย์พิเศษ กิติพงศ์กล่าวอีกว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในการเตรียมพร้อมเป็นแพลตฟอร์มรองรับ “การซื้อขายคาร์บอนเครดิต” ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ภายใน 1-2 ปีนี้ ระหว่างนี้กำลังพิจารณาว่าจะสร้างแพลตฟอร์มใหม่ขึ้นมา หรือใช้แพลตฟอร์ม TDX (ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลไทย)

“ปัญหาสำคัญในปัจจุบันคือ เรื่องการรับรอง (Verification) ว่าคาร์บอนเครดิตนั้นเชื่อถือได้ ซึ่งต้องมี Verifier หรือผู้รับรองที่น่าเชื่อถือ โดยตอนนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังคุยกับ Verra ผู้รับรองคาร์บอน เกี่ยวกับเรื่องมาตรฐานการรับรองในระดับอาเซียนอยู่ แต่กระบวนการรับรองนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง”

“SET SE” วิสาหกิจเพื่อสังคม

นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้จัดตั้ง บริษัท เซ็ท เอสอี จำกัด (SET SE) วิสาหกิจเพื่อสังคม ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท ก่อตั้งมาได้ประมาณ 2 ปีแล้ว และกำลังจะเพิ่มทุน โดยบริษัทแห่งนี้จะทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มในการหาโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยสร้างคาร์บอนเครดิตให้กับ บจ. และบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกตัวอย่างเช่น การปลูกป่า โดยชวนบริษัทต่าง ๆ มาร่วมลงทุน ซึ่งบริษัทจะได้รับคาร์บอนส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจากโครงการนั้น ๆ

“แม้ว่าจะลงทุนคนละนิดคนละหน่อย แต่จะเกิด Big Impact ต่อชุมชนและภูมิภาคนั้น ๆ ได้ ผมคิดว่า SET SE เหมาะที่จะทำเรื่องพวกนี้ เพราะเราไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย เราสามารถชวน ปตท., เซ็นทรัล, ซี.พี. มาทำด้วยกันได้”

ส่งเสริม “ธุรกิจครอบครัว” เข้าไอพีโอ

“ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ” กล่าวอีกว่า อีกเรื่องที่สำคัญคือ แผนการผลักดัน “ธุรกิจครอบครัว (Family Business)” ที่มีอยู่จำนวนมากให้เข้ามาระดมทุนเสนอขายไอพีโอในตลาดหุ้นไทย และปรับตัวตามหลัก ESG โดยในปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะจัดงานสัมมนาเรื่องธุรกิจครอบครัวขึ้นเป็นปีที่ 3 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Transformation” หรือการปรับเปลี่ยนธุรกิจครอบครัวให้ทันต่อเหตุการณ์

ทั้งนี้ ข้อดีของการเข้ามาสู่ตลาดทุนของธุรกิจครอบครัวคือ 1.ช่วยสืบทอดธุรกิจอย่างยั่งยืน 2.รักษาบุคลากรที่มีความสามารถ 3.เข้าถึงแหล่งทุน 4.ปรับตัวและแข่งขันได้ 5.พัฒนาด้าน ESG โดยเฉพาะในด้านธรรมาภิบาลที่ดี และ 6.ลดความขัดแย้งภายในครอบครัว เพราะมีโครงสร้างที่ดีและเหมาะสม

โดยสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำลังพยายามทำเพิ่มอยู่คือ พูดคุยกับรัฐบาลในการหาสิทธิประโยชน์ เพื่อจูงใจเพิ่มขึ้น ตัวอย่างแนวคิด อาทิ 1.การพิจารณาคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT Refund) ที่รวดเร็วขึ้น 2.การพิจารณาเรื่องโครงสร้างหุ้นสองระดับ (Dual Class Shares) ซึ่งเป็นหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงต่างกัน เพื่อตอบสนองความกังวลเรื่องการสูญเสียอำนาจควบคุมของธุรกิจครอบครัว โดยอนุญาตให้ขายหุ้นบางส่วนออกไป แต่ยังคงควบคุมบริษัทได้ ผ่านหุ้นบุริมสิทธิ์ที่มีสิทธิออกเสียงมากกว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องมีการแก้ไขกฎหมาย

“ตอนนี้สถานการณ์ตลาดหุ้นไทยแย่ หลายครอบครัวก็ชะลอ ยื่นไฟลิ่งแล้ว ก็หยุด แต่อย่างไรก็ดี ผมเชื่อว่ายังมีอีกหลายธุรกิจครอบครัวที่พร้อมที่อยู่ในไปป์ไลน์ที่จะทยอยเข้าไอพีโอ” ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวทิ้งท้าย