
ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทผันผวนสูง เหตุความไม่แน่นอนมาตรการภาษีทรัมป์ 2.0 คาดสิ้นปี 68 กรอบค่าเงินเคลื่อนไหว 31.50-32.50 บาทต่อดอลลาร์ จับตาต้นเดือนกรกฎาคมมีแรงกดดันบาทอ่อนค่าระยะสั้น 1-2 เดือนอยู่ที่ราว 32.30-33.30 บาทต่อดอลลาร์ พร้อมกางแผนธุรกิจกลุ่มงาน SCBFM พลิกโฉมจากผู้นำด้านอัตราแลกเปลี่ยนสู่บทบาท “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” แก่ลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย ชู 5 เรือธงผลิตภัณฑ์และบริการ
นายแพททริก ปูเลีย รองผู้จัดการใหญ่ Head of Financial Markets Function และ Head of Private Banking Relationship Management ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า กลุ่มงานตลาดการเงิน หรือ SCB Financial Markets ทำหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์และบริการที่ช่วยบริหารความเสี่ยงให้แก่ลูกค้าธุรกิจ โดยมีผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นในธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน หรือ FX
อย่างไรก็ตาม ตลาดการเงินมีความท้าทายสูงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ และสงครามการค้าที่กดดันภาคธุรกิจของไทย รวมถึงปัจจัยล่าสุด คือ ความไม่แน่นอนของมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้า (Tariffs) จากนโยบายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ที่มีผลกระทบการดำเนินธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ จึงเห็นภาพของค่าเงินบาทที่ผันผวนสูง โดยบางช่วงเงินบาทเปลี่ยนแปลงถึง 30-40 สตางค์ในช่วงข้ามคืน
ด้วยบริบททางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว SCB Financial Markets จึงปรับบทบาทให้เข้มข้นขึ้นสู่การเป็น “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” ให้กับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย ครอบคลุมทั้งด้านการบริหารความเสี่ยง การลงทุน และการเติบโตในตลาดโลก เพื่อสะท้อนถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น สร้างโอกาสการลงทุนและสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว
ภายใต้บทบาท “พันธมิตรเชิงกลยุทธ์ทางการเงิน” ให้กับลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย SCB Financial Markets นำเสนอ 5 ผลิตภัณฑ์และบริการหลัก ประกอบด้วย
1.ธุรกิจอัตราแลกเปลี่ยน (FX) และเครื่องมือบริหารความเสี่ยง อาทิ FX Forward และ FX Options ที่ออกแบบให้เหมาะสมกับลักษณะธุรกิจของลูกค้า โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีความเสี่ยงด้านค่าเงินจากการค้าระหว่างประเทศ
2.การขยายผลิตภัณฑ์ FX และคู่สกุลเงินใหม่ เพื่อรองรับสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ของประเทศปลายทาง สำหรับลูกค้าที่กำลังขยายธุรกิจในระดับภูมิภาคและตลาดเกิดใหม่
3.ช่องทางดิจิทัล อาทิ FX Online และ FX API ที่สามารถเชื่อมต่อธุรกรรม FX เข้ากับระบบ Treasury ของลูกค้าได้โดยตรง เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการเงินตราต่างประเทศ และ การซื้อขายพันธบัตรในตลาดรอง (Secondary Bond) ผ่านแอป SCB Easy เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนให้กับลูกค้ารายย่อย
4.ผลิตภัณฑ์การลงทุนแบบ Structured Notes ที่ออกแบบโดยอิงกับหลากหลายสินทรัพย์ อาทิ ค่าเงิน หุ้น และอัตราดอกเบี้ย เพื่อตอบโจทย์เป้าหมายผลตอบแทนและระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันของลูกค้า
5.บัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-FCD) ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องและต้นทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
“การบริหารความเสี่ยงด้วย FX อาจจะไม่เพียงพอในการเติมเต็มโอกาสให้แก่ ลูกค้าธุรกิจ นักลงทุนสถาบันและลูกค้ารายย่อย SCB Financial Markets จึงได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เน้นการสร้างผลตอบแทนที่ยอมรับได้ เพื่อบริหารสภาพคล่องให้กับธุรกิจ ผสานกับศักยภาพทางเทคโนโลยีดิจิทัลภายใต้กลยุทธ์ Digital Bank with Human Touch
ซึ่งทั้ง 5 กลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการ และเรามีแผนเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน (Currency Futures) ผ่านตลาด Thailand Futures Exchange (TFEX) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการบริหารความเสี่ยงให้กับลูกค้ารายย่อย รวมถึงการนำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก
และการแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย และรับมือกับความผันผวนทางเศรษฐกิจ และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืน ผ่านเครื่องมือทางการเงินที่ทันสมัย ปลอดภัย และครอบคลุมในทุกมิติของโลกการเงินยุคใหม่” นายแพททริก กล่าว
นายวชิรวัฒน์ บานชื่น นักกลยุทธ์ตลาดการเงินอาวุโส ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า เงินบาทในปีนี้ยังคงผันผวนสูง โดยในปีนี้เงินบาทเคยอ่อนค่าไปแตะระดับสูงสุดที่ราว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่จะกลับมาแข็งค่าแตะระดับต่ำสุดที่ราว 32.40 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเปลี่ยนแปลงถึง 7.4% ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน ความผันผวนนี้มาจากทั้งปัจจัยต่างประเทศและในประเทศที่มีความไม่แน่นอนสูงต่อเนื่อง
โดยเงินบาทที่กลับมาแข็งค่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจไทยจะยังอ่อนแอและมีแนวโน้มโตชะลอลงในปีนี้ เป็นผลจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐเป็นหลัก ซึ่งเทรนด์ตลาดการเงินโลกเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เกิดวัฏจักรการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งมาตรการกีดกันทางการค้าเป็นปัจจัยที่เริ่มทำให้นักลงทุนหันมาพิจารณาภาวะการลงทุนในสินทรัพย์สหรัฐ เพราะการขึ้นภาษีนำเข้าและมาตรการกีดกันต่าง ๆ ทำให้ความไม่แน่นอนสูงขึ้น
ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อการกำกับดูแล (Governance) และการปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจของสหรัฐในระยะยาว ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาและอาจส่งผลให้เศรษฐกิจอ่อนแอลงในระยะสั้น ดังนั้นจึงเห็นนักลงทุนมีความสนใจต่อการลงทุนในสหรัฐน้อยลง
นอกจากนี้ มาตรการทางการคลังที่ทรัมป์เตรียมผลักดันออกมา ทั้งการใช้จ่ายภาครัฐที่มากขึ้น และการลดภาษี ทำให้นักลงทุนโลกกังวลว่าภาครัฐอาจขาดดุลการคลังมากขึ้น ทำให้อาจสูญเสียเสถียรภาพทางการคลังได้ จึงยิ่งทำให้นักลงทุนต้องการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงออกจากสินทรัพย์สหรัฐ
จึงพบว่าเริ่มมีเงินไหลออกจากสหรัฐไปสู่กลุ่มประเทศยุโรป รวมทั้งกลุ่มตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย (EM-Asia) มากขึ้น เงินดอลลาร์สหรัฐจึงอ่อนค่าลง ทำให้เงินภูมิภาครวมถึงเงินบาทแข็งค่าขึ้น โดยสัญญาณที่เป็นตัวสะท้อนทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้ายนี้คือ การไหลเข้าของเงินทุนเคลื่อนย้ายสู่ตลาดพันธบัตรรัฐบาลไทยในเดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เงินบาทจะยังเผชิญแรงกดดันด้านแข็งค่าต่อเนื่องในปีนี้ เนื่องจาก 1.เทรนด์การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐน่าจะดำเนินไปต่อเนื่องอย่างน้อยในปีนี้ โดยนักลงทุนโลกยังต้องการลด Concentration risk ในสินทรัพย์สหรัฐ ผ่านการขายสินทรัพย์สหรัฐออกบางส่วน ทำให้เงินทุนอาจไหลออกจากสหรัฐ และดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อ
2.ข้อตกลงการค้าของสหรัฐอาจพ่วงเงื่อนไขทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้ โดยถึงแม้ว่ารัฐบาลสหรัฐจะปฏิเสธข่าว แต่มักพบว่าในเวลาที่มีข่าวการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับประเทศเอเชีย มักมีการพูดถึงการแทรกแซงค่าเงินร่วมด้วย ซึ่งมักเห็นเงินเอเชีย เช่น เงินดอลลาร์ไต้หวัน เงินวอนเกาหลีแข็งค่าขึ้นในช่วงดังกล่าว ดังนั้นประเด็นนี้อาจเป็นแรงกดดันเพิ่มเติมที่ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในระยะกลางถึงยาวได้
3.สงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงน้อยลง และมาตรการสนับสนุนเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน ทำให้เงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ จึงทำให้เงินบาทที่มีความสัมพันธ์กับเงินหยวนค่อนข้างสูงเผชิญแรงกดดันด้านอ่อนค่าน้อยลงตามไปด้วย และ 4.ราคาทองที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง จะเป็นแรงหนุนต่อการแข็งค่าของเงินบาทต่อไปได้
นายวชิรวัฒน์ กล่าวว่า การแข็งค่าของเงินบาทจะยังไม่มากนัก และอาจแข็งค่าน้อยกว่าสกุลเงินอื่นในภูมิภาคได้ เนื่องจากที่ผ่านมาสัดส่วนลงทุนต่างประเทศของไทยยังต่ำ ทำให้แนวโน้มการนำเงินกลับเข้าไทย (Repatriation flows) อาจจะมีน้อย โดยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาค เช่น สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลี หรือมาเลเซีย จะพบว่ามูลค่าการถือครองสินทรัพย์ต่างประเทศ (หุ้นและพันธบัตร) ของไทยยังต่ำกว่ามาก จึงทำให้โอกาสที่จะมี Repatriation มากดดันให้เงินบาทแข็งค่านั้นมีน้อย
นอกจากนี้ ความสนใจของนักลงทุนต่างชาติต่อสินทรัพย์ไทยก็ยังมีไม่มากนัก สะท้อนจากสัดส่วนการถือครองพันธบัตรรัฐบาลไทยของนักลงทุนต่างชาติ โดยพบว่ามีนักลงทุนต่างชาติถือครองเพียงราว 9.8% เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค อีกทั้งสัดส่วนพันธบัตรรัฐบาลไทยในดัชนี JPMorgan Government Bond Index-Emerging Markets ยังถูกปรับลดลงมาอยู่ที่ 8.8% จึงทำให้แนวโน้มเงินทุนเคลื่อนย้ายที่จะไหลเข้ามาในภูมิภาคเอเชีย อาจไหลเข้าไทยไม่มากนัก โดยมองกรอบเงินบาทที่ราว 31.50-32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปีนี้
สำหรับประเด็นที่ต้องจับตาในช่วงนี้ คือ คำพิพากษาของศาลการค้าสหรัฐเกี่ยวกับมาตรการภาษีนำเข้าที่ทรัมป์ได้ดำเนินไป โดยศาลพิจารณาว่าการดำเนินมาตรการไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ทางรัฐบาลสหรัฐได้ยื่นอุทธรณ์ไป ทำให้มาตรการยังมีผลบังคับใช้อยู่ในช่วงสั้น ๆ ซึ่งประเด็นนี้จะช่วยลดความเสี่ยงด้านการอ่อนค่าของเงินบาทได้ เพราะรัฐบาลสหรัฐอาจจำเป็นต้องใช้กฎหมายมาตราอื่นเพื่อกลับมาขึ้นภาษีนำเข้า เช่น มาตรา 122 ที่มีเงื่อนไขว่ารัฐบาลจะไม่สามารถขึ้นภาษีนำเข้าสูงกว่า 15% ได้ หรือมาตรา 301 ซึ่งต้องใช้เวลาในการตรวจสอบประเทศคู่ค้านาน และอาจทำให้ต้องเลือกพุ่งเป้าไปที่ประเทศคู่ค้าสำคัญของสหรัฐก่อน
ด้วยเหตุนี้ จึงมองว่า เงินบาทอาจอ่อนค่าได้ไม่มากนักแม้ไทยจะถูกประกาศขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม โดยให้จับตาช่วงเดดไลน์ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ที่อาจเห็นแรงกดดันทำให้เงินบาทอ่อนค่าได้ โดยมองกรอบเงินบาทในระยะสั้น (1-2 เดือนนี้) ที่ราว 32.30-33.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ