ธ.ก.ส. เล็งชง ครม.ไฟเขียว แฮร์คัตหนี้เกษตรกรสูงวัย 4-5 พันล้านบาท

ธ.ก.ส.

ธ.ก.ส. เดินหน้าแผนแฮร์คัตหนี้เกษตรกรสูงวัย 1 บัญชี มูลหนี้ 4-5 พันล้านบาท รอคลังชง ครม. เคาะแนวทางช่วยเหลือ หวังคุมหนี้เสียไม่เกิน 5.5%

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า “ธนาคารอยู่ระหว่างเตรียมดำเนินโครงการช่วยเหลือลูกหนี้กลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ซึ่งประสบปัญหาหนี้เสียเรื้อรังและไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ โดยมีลูกหนี้เข้าข่ายประมาณ 10,000 ราย คิดเป็นมูลหนี้รวมราว 4,000-5,000 ล้านบาท ทั้งนี้ แนวทางการช่วยเหลือจะอยู่บนหลักการลดผลกระทบต่อภาครัฐให้น้อยที่สุด โดยขณะนี้ กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาแนวทางดังกล่าว เพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ” นายฉัตรชัยกล่าว

นายฉัตรชัยกล่าวว่า ภาพรวมระดับหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของ ธ.ก.ส. ปัจจุบันอยู่ที่ 5.31% จากพอร์ตสินเชื่อรวม 1.67 ล้านล้านบาท โดยตั้งเป้าควบคุมระดับหนี้เสียในปี 2568 ให้อยู่ที่ประมาณ 5.5% บวกลบ และไม่ให้พุ่งกลับไปแตะระดับ 8-9% ตามที่เคยเกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้า โดยช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายนของทุกปีจะเป็นช่วงที่หนี้เสียพุ่งสูง เนื่องจากเป็นรอบเวลาการชำระหนี้ของเกษตรกร

ทั้งนี้ การควบคุม NPL จะต้องดำเนินควบคู่กับการขยายตัวของสินเชื่อที่ตั้งเป้าเพิ่มขึ้นอีก 30,000-50,000 ล้านบาทในปีนี้ จากยอดสินเชื่อรวมของปีก่อนหน้า

สำหรับทิศทางดอกเบี้ยเงินกู้ ธนาคารยังไม่มีแผนปรับลดเพิ่มเติม เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้ปรับลดมาแล้วในระดับที่เหมาะสม พร้อมเน้นย้ำว่า ภาครัฐควรเร่งเบิกจ่ายงบประมาณในโครงการที่ ธ.ก.ส. เข้าไปดำเนินการตามนโยบายให้เป็นไปตามไทม์ไลน์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่อง ลดต้นทุนทางการเงินของธนาคาร และส่งต่อผลดีไปยังลูกค้า

นายฉัตรชัยกล่าวว่า ความท้าทายเชิงโครงสร้างของฐานลูกค้า ธ.ก.ส. โดยเฉพาะปัญหาการลดลงของเกษตรกรรุ่นใหม่ และการผลิตที่ยังใช้เทคโนโลยีเก่า อีกทั้งการสนับสนุนเกษตรกรในอดีตมักมุ่งเน้นด้านการผลิตโดยไม่เชื่อมโยงไปถึงการตลาด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความสามารถในการฟื้นตัวและความยั่งยืนของลูกหนี้ในระบบธนาคาร

“ธนาคารกำลังเผชิญกับปัญหาฐานลูกค้าที่มีผู้สูงอายุจำนวนมาก ขณะเดียวกัน บุตรหลานของเกษตรกรก็สานต่ออาชีพเกษตรน้อยลง นอกจากนี้ เกษตรกรยังใช้เทคโนโลยีเก่าในการผลิต อีกทั้ง การส่งเสริมเกษตรกรในอดีตจะเน้นไปที่การผลิต แต่ไม่พุ่งเป้าไปที่การทำการตลาด ดังนั้น ปัญหาเหล่านี้จึงเป็นความท้าทายและความเสี่ยงของธนาคาร” นายฉัตรชัยกล่าว

ADVERTISMENT