ผู้ว่าการ ธปท. มอง “คริปโต-Stablecoins” ไม่ครบองค์ประกอบ “เงินและระบบการเงิน”

ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ
ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ

เศรษฐพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท. โชว์วิสัยทัศน์เวที Central Banking Summer Meetings ชี้ชัดมุมมอง ธปท. ต่อ “คริปโตเคอร์เรนซี-stablecoins” ชี้ไม่ครบตาม 3 องค์ประกอบของ “เงินและระบบการเงิน” ยันเงินทุกรูปแบบต้องพึ่งพาการเข้าถึงเงินของธนาคารกลาง

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวสุนทรพจน์ หัวข้อ อนาคตของเงิน (The Future of Money) ในการประชุม Central Banking Summer Meetings ว่าแม้อนาคตของเงินจะเต็มไปด้วยนวัตกรรมมากมายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ และมีหลายหน้าที่ที่ควรปล่อยให้เป็นบทบาทของภาคเอกชน แต่ก็ยังมีหน้าที่สำคัญบางประการที่ธนาคารกลาง จำเป็นต้องดำเนินการต่อไป ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร

โดยวัตถุประสงค์หลักของเงินและระบบการเงิน คือการอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยน ซึ่งมี 3 องค์ประกอบสำคัญ ได้แก่ การเป็น (1) หน่วยวัดมูลค่า (Unit of Account-UOA) (2) สื่อกลางในการชำระเงิน (Means of Payment-MOP) และ (3) กลไกในการโอนสื่อกลางในการชำระเงินและการชำระธุรกรรมให้เสร็จสมบูรณ์

“แม้ทั้งสามองค์ประกอบจะสำคัญ แต่การเป็น UOA อาจถือได้ว่าเป็นแก่นที่สำคัญที่สุด และเป็นรากฐานขององค์ประกอบอื่น ๆ โดย UOA ทำหน้าที่เป็นมาตรวัดมูลค่าของสินค้าบริการ และสินทรัพย์ทางการเงินทั้งหมด เสมือนหน่วยวัดระยะทางที่เป็นนามธรรมและไม่เปลี่ยนแปลง”

ขณะที่องค์ประกอบที่สอง คือ สื่อกลางในการชำระเงิน (MOP) เป็นกลไกสำคัญที่รองรับการแลกเปลี่ยนแบบต่างตอบแทน (quid-pro-quo) ในระบบการค้าแบบกระจายศูนย์ (decentralized trading system) การเป็นตัวแทนของ UOA หมายความว่า MOP ควรมีอัตราแลกเปลี่ยนคงที่เท่ากับ 1 เมื่อเทียบกับหน่วยวัดมูลค่า ไม่ว่าจะเป็น MOP รูปแบบใด

ซึ่งหลักการเรื่อง “ความเป็นเอกภาพของเงิน” (singleness of money) หมายความว่า เงินทุกรูปแบบควรมีมูลค่าเท่ากัน (at par) เมื่อเทียบกับ UOA และโดยนัยแล้วจึงแลกเปลี่ยนกันเองได้ที่ at par เช่นกัน หากไม่เป็นเช่นนั้น จะเกิดความซับซ้อนที่ไม่จำเป็น ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และสร้างความสับสน

“การขจัดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างรูปแบบของเงินต่าง ๆ จะช่วยให้เงินหมุนเวียนได้อย่างคล่องตัว และทำหน้าที่ประสานและสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

ADVERTISMENT

องค์ประกอบที่สาม คือ กลไกการโอน MOP ซึ่งต้องมีความปลอดภัย มีประสิทธิภาพ และดำเนินการได้ทันการณ์ เพื่อรับประกันความถูกต้องและความสมบูรณ์ (integrity) ในการโอนมูลค่าระหว่างคู่สัญญา และทำให้การชำระหนี้เสร็จสิ้นสมบูรณ์ (settlement frailty)

แม้องค์ประกอบทั้งสามจะเป็นส่วนประกอบทางเทคนิคที่จำเป็นของระบบการเงิน แต่สิ่งที่เป็นรากฐานและสำคัญยิ่งกว่าคือ “ความน่าเชื่อถือ” (trust) ระบบการเงินจะทำงานได้จะต้องผ่านเงื่อนไขเบื้องต้นคือ ความเชื่อมั่นว่าหน่วยวัดมูลค่าจะยังคงความสำคัญ สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นเงินจะได้รับการยอมรับโดยทั่วไป และการชำระเงินจะสำเร็จลุล่วงตามที่ควรจะเป็น ดั่งคำกล่าวที่ว่า “เงินทำให้โลกหมุนไปได้” แต่ “ความน่าเชื่อถือ” คือสิ่งที่ทำให้เงินหมุนเวียนได้

“การสร้างและรักษาความเชื่อมั่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องอาศัยโครงสร้างเชิงสถาบันที่เข้มแข็ง ซึ่งธนาคารกลาง รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลสถาบันการเงินและระบบการชำระเงิน ถือเป็นเสาหลักสำคัญของโครงสร้างนี้”

นายเศรษฐพุฒิกล่าวว่า การรักษาความมั่นคงของ UOA เป็นความรับผิดชอบหลักของธนาคารกลาง ซึ่งดำเนินการผ่านนโยบายการเงิน เพื่อให้มั่นใจว่า UOA (ซึ่งก็คือราคาของเงินเมื่อเทียบกับสินค้าและบริการ) จะสามารถถูกยึดเหนี่ยวได้อย่างดี

“ความสำคัญของ UOA จะปรากฏชัดเจนที่สุดเมื่อมันไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างที่ควรจะเป็น การสูญเสียความมั่นคงของ UOA หมายถึงภาวะเงินเฟ้อที่สูงมากหรือภาวะเงินฝืดที่ยืดเยื้อต่อเนื่อง ซึ่งทั้งสองสถานการณ์ล้วนส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกระบวนการแลกเปลี่ยน ในกรณีที่รุนแรงที่สุด เมื่อความเชื่อมั่นใน UOA หมดไป ระบบเศรษฐกิจอาจหันไปใช้ UOA ของประเทศอื่น (เช่น การใช้เงินดอลลาร์ สรอ. หรือที่เรียกว่า dollarization) ซึ่งสะท้อนถึงการสูญเสียอำนาจอธิปไตยทางการเงินของประเทศนั้น”

แม้ว่าหน้าที่การออก MOP และกลไกการโอนเงินบางส่วนจะสามารถมอบหมายให้ภาคเอกชนดำเนินการได้ เช่น เงินฝากธนาคาร เงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Money) แต่การรักษาความน่าเชื่อถือในระบบการเงินจำเป็นต้องมีกรอบการกำกับดูแลและการตรวจสอบที่เข้มแข็ง เพื่อให้มั่นใจว่ากลไกเหล่านั้นจะทำงานได้อย่างถูกต้องตลอดเวลา

นายเศรษฐพุฒิกล่าวอีกว่า เมื่อนึกถึงอนาคตของเงิน สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า แม้ระบบในปัจจุบันจะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่ก็ตั้งอยู่บนรากฐานที่มั่นคง ดังนั้น มาตรฐานสำหรับนวัตกรรมทางการเงินใหม่ ๆ จึงควรตั้งไว้ในระดับที่สูงเพียงพอ

“เราจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากรูปแบบใหม่ ๆ ของเงินที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตสามารถสร้างได้ทั้งความหวัง (hope) และความน่าตื่นเต้นเกินจริง (hype) ขณะที่เรากำลังพัฒนารูปแบบของเงินอย่างต่อเนื่อง เราต้องระมัดระวังไม่ให้เผลอไปบั่นทอน หรือทำลายองค์ประกอบพื้นฐานที่ทำให้เงินทำหน้าที่ได้ดี”

โดยสิ่งบางประเภทที่ถูกเสนอให้เป็นเงินรูปแบบใหม่ควรได้รับการประเมินอย่างรอบด้านภายใต้หลักการนี้ เช่น สกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrencies) ยังไม่สามารถทำหน้าที่เป็น “หน่วยวัดมูลค่า UOA ที่มั่นคง” ได้อย่างแท้จริง ขณะที่ stablecoins ก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเสียมูลค่าที่คงที่เมื่อเทียบกับ UOA ซึ่งอาจขัดกับหลักการ “ความเป็นเอกภาพของเงิน” แม้ว่าจะอิงกับสกุลเงินของประเทศที่มีอยู่แล้วก็ตาม

“เงินทุกรูปแบบ ล้วนต้องพึ่งพาการเข้าถึงเงินของธนาคารกลางในท้ายที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดในช่วงวิกฤต ไม่ว่าอนาคตของเงินจะพัฒนาไปในทิศทางใด ผมมั่นใจอย่างยิ่งในสิ่งหนึ่ง นั่นคือ เงินของธนาคารกลางในฐานะศูนย์กลางจะยังคงอยู่ต่อไป (centrality)

และผมก็มั่นใจเช่นกันว่าอนาคตของเงินจะไม่ใช่โทเค็นดิจิทัลแบบกระจายศูนย์ที่ไม่ได้ยึดโยงกับเงินของธนาคารกลางโดยสิ้นเชิง ธนาคารกลางจะยังคงมีบทบาทสำคัญที่ไม่สามารถมอบหมายให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้ ดังนั้น ธนาคารกลางและหน่วยงานกำกับดูแลจะต้องทำงานอย่างต่อเนื่องและแข็งขันต่อไป เพื่อรักษาความเชื่อมั่นในระบบการเงิน ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญสำหรับระบบการเงินในอนาคตที่มีประสิทธิภาพ”