ค่าเงินบาทแข็งค่า หลังเงินเฟ้อสหรัฐต่ำกว่าคาด

ค่าเงินบาทแข็งค่า หลังเงินเฟ้อสหรัฐต่ำกว่าคาด

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพรายงานว่า ภาวการณ์เคลื่อนไหวของตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันที่ 9-13 มิถุนายน 2568 ค่าเงินบาทเปิดตลาดวันจันทร์ (9/6) ที่ระดับ 32.72/73 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (6/6) ที่ระดับ 32.60/61 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากเมื่อวันศุกร์ (6/6) กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า การจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน พ.ค.เพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่ง มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจจะเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่ง

ขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2% สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐกล่าวว่า รัฐบาลจะมีการประกาศชื่อประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คนใหม่ในเร็ว ๆ นี้ พร้อมระบุว่าผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งควรเป็นผู้ที่พร้อมลดอัตราดอกเบี้ย

โดยก่อนหน้านี้ ทรัมป์ได้วิจารณ์การดำเนินนโยบายของเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดคนปัจจุบัน โดยระบุว่า พาวเวลล์ปรับลดดอกเบี้ยช้าเกินไป พร้อมเรียกร้องให้เฟดลดดอกเบี้ยลงทันที 1% ทรัมป์ยืนยันว่าการตัดสินใจเรื่องประธานเฟดคนใหม่ใกล้จะประกาศออกมาแล้ว ซึ่งหนึ่งในผู้ที่จับตามองคือ เควิน วอร์ช อดีตผู้ว่าการเฟด ทั้งที่ทรัมป์กล่าวถึงในเชิงบวก และถือเป็นตัวเต็งคนสำคัญสำหรับตำแหน่งนี้

อย่างไรก็ดีในช่วงปลายสัปดาห์ค่าเงินบาทแข็งค่า หลังดอลลาร์ถูกกดดันจากการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาดการณ์ ในวันศุกร์ (13/6) กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (Headline CPI) ปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปีซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.3% ในเดือน เม.ย.

และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนีปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือน พ.ค. ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.2% จากระดับ 0.2% ในเดือน เม.ย. ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน (Core CPI) ปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.9% จากระดับ 2.8% ในเดือน เม.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี CPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือน พ.ค. ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.3% จากระดับ 0.2% ในเดือน เม.ย.

ต่อมามีการเปิดเผยดัชนีราคาผู้ผลิตทั่วไป (Headline PPI) ปรับตัวขึ้น 2.6% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.5% ในเดือน เม.ย. และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือน พ.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.2% หลังจากปรับตัวลง 0.2% ในเดือน เม.ย. ส่วนดัชนี PPI พื้นฐาน (Core PPI) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 3.0% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 3.1% จากระดับ 3.2% ในเดือน เม.ย.

ADVERTISMENT

และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PPI พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.1% ในเดือน พ.ค. ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.3% หลังจากปรับตัวลง 0.2% ในเดือน เม.ย. รวมถึงกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ทรงตัวที่ระดับ 248,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 244,000 ราย ส่วนตัวเลขค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ของจำนวนชาวอเมริกันที่ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรก เพิ่มขึ้น 5,000 ราย สู่ระดับ 240,250 ราย

นอกจากนี้ ธนาคารโลกออกรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้สู่ระดับ 2.3% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ม.ค.ที่ระดับ 2.7% โดยได้รับผลกระทบจากการเรียกเก็บภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ธนาคารโลกปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของศรษฐกิจสหรัฐในปีนี้สู่ระดับ 1.4% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.3% และปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจในปีหน้า สู่ระดับ 1.6% จากเดิมที่ระดับ 2.0%

สำหรับประเด็นเรื่องการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่จีนและสหรัฐได้บรรลุฉันทามติด้านการค้าหลังเสร็จสิ้นการเจรจาระดับสูงเป็นวันที่สองที่กรุงลอนดอน ซึ่งจีนขานรับการบรรลุกรอบความร่วมมือใหม่ที่จะช่วยคลี่คลายความตึงเครียดทางการค้ากับสหรัฐ หลังเสร็จสิ้นการเจรจาอันเข้มข้นเป็นเวลาสองวันที่กรุงลอนดอน พร้อมเรียกร้องให้ทั้งสองประเทศยึดมั่นในข้อตกลง และคงการหารือกันต่อไปเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่มีเสถียรภาพ

ขณะที่สหรัฐจะไม่เปลี่ยนแปลงอัตราภาษีศุลกากรจากระดับปัจจุบันที่เรียกเก็บต่อสินค้านำเข้าจากจีน แม้ว่าข้อตกลงทางการค้าระหว่างสหรัฐและจีนยังไม่ได้ข้อสรุปก็ตาม ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ระบุว่า สหรัฐจะเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อสินค้าจีนในอัตรา 55% ขณะที่จีนจะเรียกเก็บภาษีจากสินค้าสหรัฐในอัตรา 10%

นอกจากนี้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า เขามีความตั้งใจที่จะส่งจดหมายถึงบรรดาประเทศคู่ค้าภายในอีก 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า เพื่อกำหนดอัตราภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้า ก่อนถึงกำหนดเส้นตายวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งเป็นวันที่สหรัฐจะเริ่มกลับมาใช้มาตรการภาษีศุลกากรกับประเทศต่าง ๆ หลังจากระงับใช้มาตรการดังกล่าวเป็นเวลา 90 วัน โดยระหว่างสัปดาห์ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 32.61-32.77 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (13/6) ที่ระดับ 32.44/46 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินยูโร ค่าเงินยูโรเปิดตลาดวันจันทร์ (9/6) ที่ระดับ 1.1400/03 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร อ่อนค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (6/6) ที่ระดับ 1.1418/20 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ฟรีดริซ แมร์ซ ระบุว่า เขาจะผลักดันข้อตกลงให้รถยนต์จากสหรัฐเข้าสู่ยุโรปโดยปลอดภาษี แลกกับการที่สหรัฐจะยกเลิกภาษีสินค้าส่งออกจากยุโรป

ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยสัญญาณที่แข็งกร้าวจากคริสติน ลาการ์ด ประธาน ECB บ่งชี้ว่าวัฏจักรการผ่อนคลายทางการเงินอาจใกล้สิ้นสุดลงแล้ว อีกทั้งนายปีเตอร์ คาซิมีร์ ผู้กำหนดนโยบายจาก ECB กล่าวเมื่อวันจันทร์ (9/6) ว่า ECB ใกล้จะสิ้นสุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยแล้ว และควรเฝ้าดูข้อมูลเศรษฐกิจต่อไปเพื่อพิจารณาว่าจำเป็นต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหรือไม่

อย่างไรก็ดี อิซาเบล ชนาเบล สมาชิกคณะกรรมการบริหารธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดี (12/6) ว่า ในขณะนี้อัตราดอกเบี้ยของ ECB อยู่ในระดับที่ดี แม้ว่าคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง โดย ECB คาดว่าจะอยู่ที่ 1.6% ในปี 2026 เทียบกับ 1.9% ในเดือนที่แล้ว

ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากผลกระทบฐานของราคาพลังงานและอัตราแลกเปลี่ยนยูโรที่แข็งค่าขึ้น แต่จะกลับมาที่ 2% ในระยะกลาง ทั้งนี้ระหว่างสัปดาห์ค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง 1.1372-1.1631 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร และปิดตลาดในวันศุกร์ (13/6) ที่ระดับ 1.1536/38 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

สำหรับการเคลื่อนไหวของค่าเงินเยน เปิดตลาดวันจันทร์ (9/6) ที่ระดับ 144.75/76 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าจากระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ (16/5) ที่ระดับ 144.12/14 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ สำนักงานคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นปรับเพิ่มประมาณการผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1 เป็นหดตัวเพียง 0.2% เมื่อเทียบรายปี จากตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ระบุว่าหดตัว 0.7% โดยได้แรงหนุนจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคและสต๊อกสินค้าคงคลังของภาคเอกชนที่แข็งแกร่งเกินคาด

นอกจากนี้ ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ประกาศนโยบายหลักในการหาเสียงเลือกตั้งวุฒิสภาที่จะมีขึ้นในเดือน ก.ค. โดยตั้งเป้าเพิ่มค่าจ้างเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่น 50% พร้อมขยายขนาดเศรษฐกิจให้ทะลุ 1 พันล้านล้านเยน อิชิบะเสริมว่า ประชาชนควรมีความมั่นคงทางการเงินจากการที่ค่าจ้างเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ โดยเพื่อให้ค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 50% ภายในปี 2583 ค่าจ้างจะต้องขยับขึ้นประมาณปีละ 2.74% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ขณะที่ Nominal GDP ของญี่ปุ่นในปี 2567 ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์แตะ 609 ล้านล้านเยน

ขณะเดียวกันหนังสือพิมพ์โยมิอูริรายงานว่า พรรคแอลดีพี (LDP) กำลังพิจารณาแจกเงินสดจำนวนหลายร้อยดอลลาร์ต่อคนก่อนการเลือกตั้ง เพื่อบรรเทาผลกระทบจากราคาสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ดีค่าเงินเยนปรับตัวอ่อนค่าเล็กน้อย หลังธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ของญี่ปุ่น ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือน พ.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี แต่ชะลอลงจากระดับ 4.1% ในเดือน เม.ย. ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบ 6 เดือนที่ดัชนี PPI ลดลงมาอยู่ในช่วง 3%

โดยมีปัจจัยหลักจากราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมและถ่านหินที่ปรับตัวลง ต่อมารัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของบริษัทขนาดใหญ่ในญี่ปุ่นลดลงในไตรมาส 2 ซึ่งถือเป็นการปรับตัวลดลงครั้งแรกในรอบ 5 ไตรมาส และบ่งชี้ว่า ความไม่แน่นอนจากนโยบายภาษีของสหรัฐอาจเริ่มส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก กระทรวงการคลังญี่ปุ่นระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจสำหรับบริษัทขนาดใหญ่ลดลงมาอยู่ที่ 1.9 จากระดับ +2.0 ในไตรมาสแรก แสดงว่าจำนวนบริษัทที่มองว่าสถานการณ์แย่ลงมีมากกว่าบริษัทที่มองว่าดีขึ้น

ขณะที่ชิเงรุ อิชิบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น กล่าวว่า จะไม่เร่งรีบทำข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐ หากข้อตกลงนั้นอาจกระทบต่อผลประโยชน์ของประเทศ หากมีความคืบหน้าก่อนที่ตนจะพบกับทรัมป์ ก็ถือเป็นเรื่องดี แต่สิ่งสำคัญคือการบรรลุข้อตกลงที่เอื้อประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย พร้อมย้ำว่าจะไม่ประนีประนอมผลประโยชน์ของญี่ปุ่นเพื่อแลกกับการบรรลุข้อตกลงอย่างเร่งรีบ คาดว่าอิชิบะมีกำหนดพบกับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ นอกรอบการประชุมผู้นำกลุ่ม G7 ที่ประเทศแคนาดา ในวันอาทิตย์ (15/6) อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการกำหนดวันและเวลาอย่างเป็นทางการสำหรับการหารือทวิภาคี

ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของค่าเงินเยนอยู่ในกรอบระหว่าง 142.79-145.46 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ และปิดตลาดในวันศุกร์ (13/6) ที่ระดับ 143.54/55 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ