
อีไอซี เผยจีดีพีครึ่งปีหลัง 68 เสี่ยงโตต่ำกว่า 1% จากทั้งปีขยายตัว 1.5% และปี 69 โตได้ 1.4% เสี่ยงเข้าสู่ภาวะถดถอยเชิงเทคนิค มองไทยสะสมความเปราะบางสูง-ท่องเที่ยว-การลงทุนชะลอ ลั่น ธุรกิจเอสเอ็มอีหันพึ่งเงินกู้นอกระบบพุ่ง 47% จาก 13% สะท้อนธนาคารระมัดระวัง ตัวเลขปิดกิจการเพิ่ม 3.3% หนุนใช้มาตรการคลัง-การเงินช่วยกระตุ้น คาด กนง.ปีนี้ลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง
ดร.ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ต่อเนื่องไปถึงปี 2569 ยังคงอยู่ในธีม “ความไม่แน่นอน” เนื่องจากสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
โดยอีไอซี คงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปีนี้ขยายตัว 1.5% และปี 2569 ขยายตัว 1.4% ซึ่งขยายตัวต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต มาจาก 3 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.สงครามการค้า 2.ความไม่แน่นอนสูง และ 3.แผลเป็นทางเศรษฐกิจและข้อจำกัดทางการคลัง ทั้งนี้ คาดว่าตัวเลขการเติบโตในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ขยายตัวต่ำกว่า 1% หรือราว 0.6-0.8% หลังจากตัวเลขจริงไตรมาสที่ 1/2568 ออกมาขยายตัว 3.1% และไตรมาสที่ 2/2568 จะออกมาต่ำกว่า 2% และเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส (QoQ) ขยายตัวใกล้ 0% สะท้อนว่าเศรษฐกิจไทยหดตัว และมีโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยเชิงเทคนิค (Technical Recession) ได้
อย่างไรก็ดี ภายใต้การประมาณการเศรษฐกิจ คือ สมมติฐานของการเจรจาอัตราภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ (Reciprocal Tariffs) มีอยู่ 3 สมติฐาน 1.กรณี Low Case เรียกเก็บ 10% และ 2.กรณีพื้นฐาน (Based Case) เรียกเก็บ 23% จีดีพีขยายตัว 1.5% และ 3.กรณีเลวร้าย (Worst Case) เรียกเก็บ 36% และมีปัจจัยความเสี่ยงความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) คาดว่าเศรษฐกิจจะขยายตัว 0.8%
ขณะที่การท่องเที่ยวเริ่มเห็นปัญหาชัดเจนขึ้น โดยในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยลดลง -3% ซึ่งนักท่องเที่ยวหดตัวต่อเนื่องในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา แต่นักท่องเที่ยวชาติอื่นยังคงขยายตัว และมีบางกลุ่มที่ขยายตัวมากกว่าช่วงโควิด-19 แล้ว เช่น กลุ่มยุโรป สหรัฐ รัสเซีย และอิสราเอล เป็นต้น
อย่างไรก็ดี จากปัญหาสงครามและความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ยังคงต้องติดตามใกล้ชิด เพราะอาจจะกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทยได้ ทำให้อีไอซีได้ปรับลดประมาณการนักท่องเที่ยวในปี 2568 ลงเหลือ 34.2 ล้านคน จากปี 2567 ที่ 35.5 ล้านคน
“ในช่วง 2 ปีนี้ ถือเป็น 2 ปีที่มีความท้าทายมากของเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอนสูงในหลาย ๆ มิติ เรามองเศรษฐกิจไทยยังคงมี Downside มากกว่า Upside เพราะเราสะสมความเปราะบางมาตั้งแต่ช่วงโควิด-19 เม็ดเงินทางการคลังมีจำกัด โดยสิ่งที่กังวลมากที่สุด คือ ปัจจัยต่างประเทศ เพราะเราเป็นประเทศเศรษฐกิจเล็ก พึ่งพาจากต่างประเทศค่อนข้างเยอะ หากเกิดสงคราม ความขัดแย้งรุนแรงจะกระทบเราผ่านหลายช่องทางได้ แต่เชื่อว่าภาครัฐน่าจะมีนโยบายอะไรออกมาให้เห็น”
ดร.ยรรยง กล่าวอีกว่า ภาพรวมการลงทุนมีแนวโน้มไม่ค่อยดี โดย Key Word สำคัญ คือ “ความไม่แน่นอน” ซึ่งจากรายงานผลสำรวจซีอีโอทั่วโลก พบว่า ชะลอการลงทุน เพื่อรอดูความชัดเจนจากนโยบายการค้าของสหรัฐ ในส่วนของไทยจะเห็นว่า ตัวเลขการลงทุนในไตรมาสที่ 1/2568 เริ่มติดลบ แม้ว่าตัวเลขของการขอส่งเสริมการลงทุน (BOI) ค่อนข้างดี แต่ก็มีการชะลอไปเพื่อดูเรื่องภาษี ประกอบกับ BOI มีกฎระเบียบเพิ่มเติม เช่น เน้นการลงทุนในธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และเน้นวัตถุดิบภายในประเทศ (Local Content) มากขึ้น
โดยตัวเลขมูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนหดตัว -4% เป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ขณะที่การขยายตัวของโครงการใหม่คาดว่าปีนี้จะหดตัว -4% จากปี 2567 หดตัว -13% เป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจ แผ่นดินไหว และการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินที่เป็นปัจจัยเข้ามากระทบ ดังนั้น จากทิศทางการลงทุนที่มีแนวโน้มไม่ดีนัก จะเห็นอัตราการเปิด-ปิดกิจการเปลี่ยนไป โดยในภาวะปกติการเปิดกิจการจะต้องเป็นบวก แต่ในปีนี้จะเห็นว่า อัตราการเปิดกิจการในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 เปิดลดลง -5.7% และอัตราการปิดเพิ่มขึ้น 3.3%
ดังนั้น จากแนวโน้มการลงทุนและการปิดกิจการดังกล่าว หากดูสินเชื่อธุรกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ในไตรมาส 1/2568 หดตัว -0.8% เทียบกับไตรมาสที่ 4/2567 ขยายตัว 0.5% และหากดูสินเชื่อเอสเอ็มอีที่มียอดขายต่ำกว่า 500 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 1/2568 หดตัว -5.5% เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4/2567 ที่หดตัว -4.6%
อย่างไรก็ดี หากดูผลสำรวจของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ล่าสุด พบว่าผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังมีความต้องการสินเชื่อ แต่ตัวเลขสินเชื่อที่ออกมายังคงติดลบ สะท้อนว่าสถาบันการเงินยังคงมีความระมัดระวัง และประเมินเครดิตความเสี่ยงของลูกค้าเป็นหลัก ทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหันไปพึ่งแหล่งเงินทุนจากนอกระบบเพิ่มขึ้นสูงอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมอยู่ที่ 13% ขยับพิ่มขึ้นเป็น 47% และแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สะท้อนถึงการระมัดระวังของสถาบันการเงินที่มีสูงขึ้น
“นโยบายการเงินและนโยบายการคลังมีความสำคัญที่ต้องทำควบคู่กันในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีนี้ ขณะที่ภาครัฐบาลจำเป็นต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นในด้านต่าง ๆ ให้เร็วและทั่วถึงให้มากที่สุด จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในระบบให้กลับมาแข็งแกร่ง โดยไม่เกิดความเปาะบาง ที่สำคัญจะช่วยหนุนให้ธนาคารพาณิชย์ในระบบกลับมาปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นด้วย โดยเรื่องของเครดิตการันตีมีความสำคัญในช่วงเวลานี้ เพื่อให้แบงก์มีความมั่นใจกับมาปล่อยสินเชื่อได้มากขึ้น”
ดร.ยรรยง กล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายการเงิน ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ และอีก 1 ครั้งในปี 2569 มาอยู่ที่ระดับ 1% ในสิ้นปี 2569 ขณะที่นโยบายการคลัง จะเห็นว่าได้มีการปรับเปลี่ยนนโยบายจากมาตรการ “ดิจิทัลวอลเลต” วงเงิน 1.57 แสนล้านบาท มาเป็นมาตรการรองรับผลกระทบจากภาษีตอบโต้ และการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน มองว่าเป็นผลดีต่อภาพรวม
อย่างไรก็ดี จะต้องพิจารณาถึงประสิทธิภาพในการคัดกรองและยังคงต้องใช้ระยะเวลาในการส่งต่อไปสู่ผู้ได้รับผลกระทบ ประกอบกับพื้นที่ของนโยบายการคลังเริ่มแคบลงจากเพดานหนี้สาธารณะที่คาดว่าจะชนเพดาน 70% ภายในปี 2569-2570 หรืออีก 2-3 ปีข้างหน้า ดังนั้น หากมีการก่อหนี้เพิ่มโดยไม่มีแผนบริหารจัดการที่ดี เช่น การหารายได้เพิ่มรองรับในอนาคตอาจจะเสี่ยงต่อการถูกปรับลดอันดับเครดิตได้ เพราะเป็นเรื่องที่บริษัทจัดอันดับเครดิตจับตาอยู่ ดังนั้น ในช่วงนี้จะเห็นบทบาทของนโยบายการเงินมากขึ้น
“ส่วนปัญหาทางการเมืองที่เริ่มมีการพูดถึงในเรื่องของการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หรือประเด็นในเรื่องอื่น ๆ นั้น เรามองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น จะเป็นผลกระทบต่อความเชื่อมั่น ซึ่งหากมีการจัดการปัญหาให้คลี่คลายด้วยดี ก็จะทำให้ความเชื่อมั่นกลับมาได้”