
สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) แนะ 4 แนวทาง เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันไทย หลัง IMD เผย ไทยร่วงอยู่ที่อับดับ 30 ของโลก ย้ำภาครัฐเร่งแก้ไขปัญหา ฟื้นฟูเศรษฐกิจจริงจัง–ภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวพัฒนาศักยภาพของตนเอง
นายนิธิ ภัทรโชค ประธาน สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เปิดเผยว่า ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของ ประเทศโดย World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ IMD สวิตเซอร์แลนด์(IMD – WCC) ประจำปี 2568 โดยในปีนี้ ประเทศไทยมีอันดับลดลงถึง 5 อันดับ มาอยู่ในอันดับที่ 30 เท่ากับเมื่อปี 2566
ซึ่งปัจจัยหลักที่ IMD ใช้ในการจัดอันดับรวม 4 ด้าน ไทยมีอันดับลดลงจากปีที่แล้วในทุกด้าน โดยลดลงมากที่สุดในด้านประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government efficiency) ที่ลดลงถึง 8 อันดับ รองลงมาคือ ด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) ที่มีอันดับลดลงจากปีที่แล้ว 4 อันดับ และสมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) ลดลง 3 อันดับ
จากผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศดังกล่าวข้างต้นสะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทย มีความอ่อนแอทั้งเชิงโครงสร้างและเชิงระบบที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศและอ่อนไหวต่อความผันผวน โดยเกิดจาก จาก 6 ปัจจัยประกอบ ด้วย
1.อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โตต่ำ รองอันดับสุดท้ายในกลุ่มประเทศอาเซียน
2.ไม่มีการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่ (New-S cueve) ที่เกิดผลสำเร็จ
3.การลงทุนทั้งในและต่างประเทศลดลง
4.ความเหลื่อมล้ำสูงมาก โดยดัชนีความยากจนของไทยเพิ่มสูงต่อเนื่อง
5.ปัญหาการบริหารจัดการภาครัฐ (Government Efficiency) ยังคงมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการทำงานแบบ แยกส่วน (Silo) กฎหมายที่ไม่ทันสมัย กระบวนการเพื่อสนับสนุนภาคธุรกิจซับซ้อนเอื้อต่อการทุจริตคอร์รัปชัน SMEs อ่อนแอ
6.โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ โดยประเทศไทย ทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบการศึกษา สาธารณสุขสิ่งแวดล้อม ยังคงไม่เพียงพอต่อการสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนได้
นายนิธิ กล่าวว่า ประเทศไทย ยังมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้น การจัดอันดับขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศจะดีขึ้น โดยเสนอแนวทาง การพัฒนาความสามารถในการแข่งขันของประเทศอย่างยั่งยืน โดยกำหนดทิศทางในการพัฒนาดังนี้
- Economic Performance มีการกำหนดอุตสาหกรรมเป้าหมาย(Strategic Sector) คือ Agri-food และ Wellness & MedicalTourism เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยพิจารณาต่อยอดจากจุดแข็งของประเทศ (leverage keystrengths)และขยายผลโดยใช้โอกาสจากกระแสความต้องการของโลก (captureglobal trends) โดยก่อประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม(economic and social impacts)
- Government Efficiency สร้างความเชื่อมั่นในการทำงานภาครัฐ(Credible government) จัดตั้งหน่วยงานขับเคลื่อนกลางกำหนดแชมป์เปี้ยนที่มีอำนาจและความสามารถอย่างแท้จริงปรับกฎระเบียบและกระบวนการเพื่ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจ(ease of doing business)ลดความเหลื่อมล้ำเพิ่มชนชั้นกลางเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
- Business Efficiency – Enterprise Transformationเพิ่มผลิตภาพและประสิทธิภาพของธุรกิจ หาตลาด Segmentและช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่ และนำ Digital platformมาประยุกต์ใช้ ปรับเปลี่ยน SMEs ให้เป็น Innovation drivenenterprises และพัฒนาทักษะที่สำคัญต่อการเติบโต (Upskill and Reskill)
- Infrastructure – พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาระบบสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อมให้ประชาชนทุกคนมีโอกาสเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมผ่านการปฏิรูประบบการศึกษา เน้น Strategic skillsและวางรากฐานระบบสุขภาพและสิ่งแวดล้อมเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน
นายนิธิเน้นย้ำว่า ภายใต้วิกฤติต่างๆ ที่กำลังรุมล้อมอยู่ในเวลานี้ประเทศไทยมาถึงจุดที่รอไม่ได้ อีกต่อไป ถึงเวลาต้องลงมืออย่างจริงจัง รัฐต้องแสดงบทบาทนำ มีวิสัยทัศน์ระยะยาว เร่งแก้ไขปัญหาเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ เสริมขีดความสามารถในการแข่งขันยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน เพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนให้กับประเทศขณะเดียวกัน
ในส่วนของภาคเอกชนต้องเร่งปรับตัวพัฒนาศักยภาพของตนเองและร่วมมือกับภาครัฐและภาคการศึกษาในการขับเคลื่อนวาระสำคัญของประเทศ เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม การพัฒนากำลังแรงงานในอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ รวมถึงการสนับสนุนยกระดับความสามารถของSMEsประเทศไทย บนพื้นฐานของ natural endowment และ competitiveadvantage แต่เราจำเป็นต้องก้าวข้ามแนวคิดและแนวทางแบบเดิม ๆ ปรับ business model ของประเทศใหม่ให้ตอบรับอนาคต มีแผนกลยุทธ์ที่ชัดเจนและต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง ”นายนิธิ กล่าว
ด้านนายกอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยภายในช่วงเสวนา “โอกาส ความหวัง และอนาคตของประเทศไทย” ว่า ประเทศไทยปัจจุบันเศรษฐกิจไม่เติบโต ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายที่ดังขึ้นเรื่อยๆ และชัดเจนขึ้น ประเทศไทยต้องเปลี่ยนใหญ่ ทำแบบเดิมไม่ได้ และต้องหาข้อเสนอที่จะเปลี่ยนแปลงตนเอง เพื่อสร้างความหวัง
ซึ่งโอกาสของเรานั้น เป็นอนาคตที่เราต้องสร้างด้วยตนเอง และต้องอ่านให้ขาดว่าโจทย์คืออะไร ปัญหาคืออะไร และจะหาโอกาสได้อย่างไร โดยปัจจุบันโลกกำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็ไทยกำลังเปลี่ยน แต่เปลี่ยนช้าและไม่ทัน โดยสิ่งที่ไทยมีในอดีตกำลังหมดบุญ ตกยุคไปแล้ว และไม่มีการลงทุนใหม่ๆ
ดังนั้นเราต้องเริ่มปรับเปลี่ยนตนเองเพื่ออนาคต โดยปัจจุบันมีการลงทุนในอุตสาหกรรม New-S curve ดูจากตัวเลขขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไตรมาสแรกปีนี้ 432 โครงการ มูลค่าการลงทุน 680,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมครบวงจร ซึ่งส่วนนี้จะเป็นความหวังและโอกาสของประเทศไทย นอกจากนี้นโยบายของรัฐจะต้องมีความต่อเนื่อง ที่ผ่านมาเราจะเห็นว่า รัฐบาลไหนมาก็จะยกเลิกนโยบายรัฐบาลชุดเก่า ทำให้ไม่มีความต่อเนื่อง
นอกจากนี้เราต้องลอกคราบบริษัทไทย โดยเทคโนโลยีต่างๆที่มีในปัจจุบันถึงจุดที่ต้องเปลี่ยนแปลง บริษัทต้องหาวิธีปรับตัวให้ทันกับโลกที่กำลังเกิดขึ้น โดยการนำเทคโนโลยีหรือAI มาช่วยดำเนินธุรกิจ รวมถึงพัฒนาคนที่ต้องเร่งทำ สร้างระบบการศึกษาให้แข็งแรง
นายอธิพงศ์ หิรัญเรืองโชค ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์ และประสานการพัฒนาขีดความสวามารถในการแข่งขันของประเทศ สำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า สิ่งที่ไทยต้องทำคือ การใช้ระบบดิจิทัลมาบริหารจัดการระบบภาครัฐให้ง่ายขึ้น ผ่ายการใช้แพลตฟอร์มต่างๆ ทำให้เกิดความโปร่งใส ทั้งยังเป็นการลดขั้นตอนภาครัฐ อย่างประเทศเวียดนาม และมาเลเซีย ที่ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น
นางสาวอรนุช เลิศสุวรรณกิจ Co-Founder and CEO,Techsauce กล่าวว่า โจทย์ที่สำคัญ ควรมีนโยบายที่ชัดเจน ด้านอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์หรือชิป ซึ่งในอนาคตเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่เราจะต้องมีความพร้อมในเรื่องนี้ รวมทั้งการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่ต้องมีแผนพัฒนาที่ชัดเจน และพัฒนาบุคลากร ให้มีความรู้ ปรับตัวในการใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น