ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด (มหาชน) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 76 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 24.05% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของ บริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายในครั้งนี้ มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1.00 บาท ให้แก่ประชาชน (IPO) เพื่อเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บัวหลวง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
ทั้งนี้บริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนในครั้งนี้ ขยายพื้นที่โรงงาน ซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม และขยายพื้นที่คลังสินค้า ขยายช่องทางการจัดจำหน่ายและเสริมสร้างศักยภาพศูนย์กระจายสินค้า ปรับปรุงสำนักงานของบริษัทฯ และวางระบบเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ปรับปรุงฝ่ายวิจัยและพัฒนาของบริษัทฯ และ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน
- บังคับใช้แล้ว! หลักเกณฑ์การดำเนินงาน 30 บาทรักษาทุกที่ ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว
- ตรวจหวย ใบตรวจหวย ผลรางวัล สลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน 2567
- อย.เปิดชื่ออาหารเสริม พบสารอันตราย ร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต เตรียมดำเนินการตามกฎหมาย
ขณะที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจผลิตและจัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin Care) ที่มีคุณภาพสูงภายใต้เครื่องหมายการค้า “NAMU LIFE” โดยมีชื่อกลุ่มผลิตภัณฑ์ว่า “SNAILWHITE” ภายใต้แนวคิด “Beauty is Healthy” สำหรับประเภทการใช้งานต่างๆ ซึ่งรวมถึงผลิตภัณฑ์บำรุง และทำความสะอาดผิวหน้าและผิวกายและผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย ทั้งผ่านร้านค้าของบริษัทฯ และผ่านตัวแทนจำหน่ายหรือบริษัทจัดจำหน่ายสินค้า ซึ่งหนึ่งในบริษัทจำหน่ายสินค้าของบริษัทฯ คือ บริษัท นามุ ไลฟ์ พลัส จำกัด บริษัทย่อยของบริษัทฯ ซึ่ง ณ ปัจจุบัน บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 100
สำหรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ก่อนและหลังจากการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุน ประกอบด้วย กลุ่มครอบครัวพรพัฒนารักษ์ ถือหุ้นอันดับ 1 จำนวน 223.59 ล้านบาท คิดเป็น 93.16% หลังขาย IPO จะเหลือสัดส่วน 70.76% รองลงมา North Haven Thai Private Equity Clarity Company (HK) Limited ถือหุ้น จำนวน 15 ล้านหุ้น คิดเป็น 6.25% หลังขาย IPO จะเหลือสัดส่วน 4.75% นายรุ่งโรจน์ ชัยศิริวิกรม ถือหุ้น 785.5 ล้านหุ้น คิดเป็น 0.33% หลังขาย IPO เหลือสัดส่วน 0.25%ฃ
ส่วนรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 438.0 ล้านบาทในปี 2557 เป็น 955.1 ล้านบาทในปี 2558 และเป็น 1,201.5 ล้านบาทในปี 2559 หรือคิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 65.6% ต่อปี ส่วนสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2560 รายได้จากการขาย ลดลงเล็กน้อยจาก 361.9 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า เป็น 355.2 ล้านบาท คิดเป็นอัตราลดลง 1.9% เนื่องจากรายได้จากการขายในประเทศไทยลดลง ซึ่งชดเชยด้วยรายได้จากการขายในต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น จากการขยายช่องทางจัดจำหน่ายของตัวแทนจำหน่ายท้องถิ่นมากขึ้น
ด้านกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและก้าวกระโดดจาก 27.5 ล้านบาท ในปี 2557 เป็น 193.9 ล้านบาท ในปี 2558 และเป็น 335.2 ล้านบาทในปี 2559 คิดเป็นอัตราเติบโตสะสมเฉลี่ย (CAGR) ที่ร้อยละ 248.8 และมีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งขึ้นจากอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 6.3 ในปี 2557 เป็น ร้อยละ 20.3 ในปี 2558 และร้อยละ 27.8 ในปี 2559 ตามลำดับ อย่างไรก็ดีสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 และ 2560 กำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิของบริษัทฯ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 123.6 ล้านบาท งวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 เป็น 62.4 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปี 2560 คิดเป็นอัตราลดลงเท่ากับ 49.5% และอัตรากำไรสุทธิลดลงจาก 34.1% ในงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2559 เป็น 17.4% ในงวดเดียวกันของปี 2560 การลดลงของกำไรสุทธิและอัตรากำไรสุทธิโดยหลักมาจากค่าใช้จ่ายในการขายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายในการโฆษณาและส่งเสริมการขายและค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น