
TISCO ESU ประเมินเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค หลังเครื่องยนต์ส่งออก-ท่องเที่ยวชะลอ จับตาการเมืองความเสี่ยงด้านต่ำ คาดยุบสภาฯ-กระทบงบประมาณปี 69 ฉุดจีดีพี 1% ประเมินจีดีพีปี 68 อยู่ 1.6% ชึ้ เพดานหนี้สาธารณะ 1-2 ปี ขยับแตะ 80% หวั่นถูกหั่นเครดิตคาดกนง.ลดดอกเบี้ย 2 ครั้งเหลือ 1.25% ต่อปี ส่วนเงินบาทสิ้นปีอ่อนค่า 35 บาทต่อดอลลาร์
นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้ กลุ่มทิสโก้ หรือ ESU กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจากจีดีพีติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน เพราะปัจจัยความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ โดยเครื่องยนต์เศรษฐกิจส่งออก-ท่องเที่ยวชะลอตัวลง
โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้มีโอกาสจะเหลือเพียง 33.5 ล้านคน ลดลง 5.6% จากปีก่อน สาเหตุหลักจากนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมาในระดับก่อนโควิด-19 โดยประเมินจีดีพีปี 2568 ประเมินขยายตัว 1.6% และปี 2569 ขยายตัว 1.4%
อย่างไรก็ดี ปัจจัยความเสี่ยงการเมืองมีความสำคัญที่ต้องติดตามในช่วง 1-2 สัปดาห์ กรณีพื้นฐาน หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ และมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีการยุบสภาฯ การเบิกจ่ายได้ และงบประมาณปี 2569 ไม่สะดุด ซึ่งกรณีนี้จะกระทบต่อจีดีพีไม่มากราว 0.1-0.2% และกรณีเลวร้าย คือ มีการยุบสภาก่อนพิจารณางบประมาณปี 2569 แต่คาดว่าจะกระทบจีดีพีค่อนข้างราว 1% ของจีดีพีในช่วง 1-2 ปีนี้
ดังนั้น นโยบายการคลัง จะเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่พอจะหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้บ้าง หากรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นโครงการที่มีตัวทวีคูณทางการคลังสูง (Fiscal Multiplier) และเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้มากกว่า 80% ซึ่งจะช่วยชดเชยแรงกดดันจากภาคเศรษฐกิจอื่นที่กำลังมีปัญหาได้
ซึ่งในส่วนงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเม็ดเงิน 1.57 แสนล้านบาท จะเห็นว่าไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ขุดคูคลอง เป็นต้น มองว่า คิดว่าไม่เพียงพอ แม้ว่าตัวทวีคูณเศรษฐกิจเยอะ แต่ผลต่อเศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น จึงไปใช้ในโครงการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และการรับประกันสินเชื่อ เพื่อเสริมสภาพคล่องและพยุงไม่ให้เกิดคลื่นของการปิดกิจการและการเลิกจ้างที่อาจลุกลามบานปลายได้
ขณะเดียวกัน กำลังซื้อในประเทศกำลังซึม นักท่องเที่ยวหาย จึงควรกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อเอาเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขทวีคูณทางเศรษฐกิจมากกว่า 1%
อย่างไรก็ดี หากดูสัดส่วนเพดานหนี้สาธารณะของไทยมีข้อจำกัดมากขึ้น และเทียบหนี้สาธารณะโตสูงกว่าการเติบโตจีดีพี ซึ่งตัวเลขตั้งแต่ปี 2563 หนี้สาธารณะอยู่ 6 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 12 ล้านล้านบาท ขณะที่จีดีพีอยู่ที่ 13.7 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 18.8 ล้านล้านบาท คาดว่าภายใน 1-2 ปี ต้องปรับเพดานหนี้สาธารณะจาก 70% อาจเป็น 80% ซึ่งหากมีการปรับเพดานมีความเสี่ยงลูกปรับลดเครดิตประเทศได้ จากปัจจุบัน BBB+ เนื่องจากรายจ่ายลดไม่ได้ รายได้เก็บไม่ได้ และขยายเพดานหนึ้
“ความเสี่ยงการเมืองสำคัญมากที่ต้องจับตาในช่วง 7-14 วันนี้ โดยเรามองว่ายุบสภาโอกาสไม่เยอะประมาณ 5% โดยเราไม่คิดว่าจะมีการตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ โดยระหว่างทางรัฐบาลจะทำงานจบเทอม หรือ ยุบสภาก่อนหรือหลังงบประมาณปี 69 แต่ตอนนี้มองว่าจีดีพีปี 69 ที่ระดับ 1.6% เหมาะสมอยู่ แต่ก็มีความเสี่ยงด้านต่ำเรื่องการส่งออกจและท่องเที่ยว และภาษีทรัมป์ หาก Worst Case น่าจะโตต่ำ 0.6% ได้“
นายเมธัส กล่าวอีกว่า สำหรับนโยบายการเงิน คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) อีก 2 ครั้ง ในการประชุมเดือนสิงหาคม และไตรมาสที่ 4/2568 จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% เหลือ 1.25% ต่อปี และคาดว่าปี 2569 ปรับลดอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรก คาดอัตราดอกเบี้ยนโนบายจบอยู่ที่ 0.75% ต่อปี
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาท คาดว่าจะทยอยอ่อนค่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ไปแตะที่ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ จากช่วงต้นปีเงินบาทแข็งค่าที่ระดับ 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนหนึ่งมาจากมีการเร่งส่งออกหนีสงครามการค้า
นายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาส 3 มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ “Mild Stagflation” ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แต่เงินเฟ้อกลับเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักจากการปรับขึ้นกำแพงภาษี และราคาน้ำมันที่พุ่งสูงจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ผลกระทบจากการขึ้นภาษีทั่วโลกยังส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ภาวะลักษณะนี้นับเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อการลงทุน ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้
โดยแนะนำให้นักลงทุนทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและพันธบัตรระยะยาว และกระจายการลงทุนไปยังพันธบัตรระยะสั้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งลงทุนนอกตลาดสหรัฐฯ เช่น ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นต้น
นายธนภัทร ธนชาต ผู้ช่วยนักวิจัย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า แม้ทรัมป์จะแพ้คดีในท้ายที่สุด แต่ยังมีเครื่องมือทางกฎหมายอื่นที่สามารถใช้ตั้งกำแพงภาษีได้โดยไม่ต้องพึ่งพา IEEPA เช่น มาตรา 122 ซึ่งให้อำนาจในการตั้งภาษีอัตราสูงสุดที่ 15% หรือมาตรา 338 ที่ให้อำนาจตั้งภาษีกับประเทศที่เลือกปฏิบัติกับสินค้าของสหรัฐฯ
ได้ในอัตราสูงสุดถึง 50% และแม้มาตรการดังกล่าวจะมีข้อจำกัดด้านระยะเวลา แต่ถือว่าเพียงพอให้รัฐบาลใช้เป็นช่องทางตรวจสอบกลุ่มสินค้าที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ หรือประเทศที่ดำเนินนโยบายการค้าไม่เป็นธรรม ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯ กำลังพิจารณาอยู่หลายกลุ่มสินค้า อาทิ ยา เซมิคอนดักเตอร์ รถบรรทุก แร่ธาตุสำคัญ ทองแดง อุตสาหกรรมต่อเรือ และอาหารทะเล
สะท้อนว่าบริบทใหม่สงครามการค้าในยุคทรัมป์ยังเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่โลกไม่อาจหลีกเลี่ยง นั่นหมายถึง ในช่วงครึ่งหลังของปี เศรษฐกิจและการค้าโลกจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การค้าและการลงทุนทั่วโลกเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลหลายประเทศเริ่มปรับทิศทางนโยบายเศรษฐกิจใหม่ โดยหันมาสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน เพื่อลดการพึ่งพาการเติบโตจากภายนอก
นายธนธัช ศรีสวัสดิ์ นักกลยุทธ์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ ระบุว่า ความเสี่ยงสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล โดยมีสหรัฐฯ เข้ามา มองว่า ผลต่อราคาน้ำมันยังน้อยอยู่ โดยกรณีพื้นฐาน (Based Case) มองว่า ราคาน้ำมันช่วงท้ายปี 2568 จะอยู่ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากโอกาสจะปิดช่องแคบการส่งน้ำมันเกิดขึ้นได้น้อย