
ย้อนรอยวิสัยทัศน์ “ดร.รุ่ง-วิทัย” สองผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ “พิชัย” รมว.คลัง เคาะเลือกให้ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่
คณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้เสนอ 2 ชื่อสุดท้าย ส่งให้ “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง พิจารณาเลือกเพียง 1 รายชื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแต่งตั้งเป็นผู้ว่าการ ธปท.คนใหม่ เรียบร้อยแล้ว
ได้แก่ ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. และนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน
โดย “ประชาชาติธุรกิจ” จะพามาย้อนอ่านวิสัยทัศน์ของบุคคลทั้งคู่ ที่ได้ให้สัมภาษณ์แบบเอ็กซ์คลูซีฟไว้ เมื่อเร็ว ๆ นี้
“วิทัย” ตีโจทย์ เศรษฐกิจซึมยาว
นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า เศรษฐกิจตอนนี้อยู่ในภาวะชะงักงัน และถ้าปล่อยแบบนี้ไม่ทำอะไร มีความน่ากังวลว่าจะ “ซึมยาว” จีดีพีน่าจะเตี้ยต่ำมาก เพราะไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้างเยอะมาก ขณะที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนจีดีพี ทั้งส่งออกและท่องเที่ยวมีปัญหา ยังไม่นับรวมปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับรากฐานสำคัญ เช่น ปัญหาการศึกษา ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน และสังคมสูงวัย เป็นต้น
เศรษฐกิจทรุด-การเมืองซ้ำเติม
ตอนนี้ทุกคนเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยมีปัญหา “รุมเร้า” ถ้าทำไม่ดีจะ “ซึมยาว” โดยเครื่องยนต์ขับเคลื่อนมีแค่ “ส่งออก” และ “ท่องเที่ยว” ดังนั้นหากพูดถึงการเติบโต (Growth) ของจีดีพี หากนักท่องเที่ยวมาแค่ 35 ล้านคน ท่องเที่ยวก็จะไม่มี Growth เครื่องยนต์ “ท่องเที่ยว” หายไป
ขณะที่เครื่องยนต์ “ส่งออก” สัดส่วนประมาณ 18% อยู่ที่ตลาดสหรัฐ ขณะที่สถานการณ์สงครามการค้าไม่ชัดเจน ไม่รู้ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น และมีกระบวนการฟ้องร้องของศาลสหรัฐ อาจทำให้สถานการณ์ส่งออกที่เดิมคาดว่าจะ “จมลึก” ในช่วงครึ่งปีหลัง ปัญหาก็อาจจะลากยาวไปต้นปี 2569 และค่อยไหลลง
และตอนนี้ประเด็น “การเมือง” ในประเทศที่เกิดขึ้น ก็จะทำให้โฟกัสจะไม่อยู่ที่ “เศรษฐกิจ” ทำให้ความเชื่อมั่นของประชาชนลดลง ตลาดหุ้นลง และความเชื่อมั่นของคนที่จะลงทุน จากเดิมไม่ลงทุนอยู่แล้ว จะยิ่งไม่ลงทุนต่อ สถานการณ์จะหนักขึ้นอีก จะเห็นเศรษฐกิจ “ซึมยาว ๆ” และยังนึกไม่ออกว่าจะกลับมาด้วยอะไร
“เครื่องชี้วัดทุกตัวไม่ดีเลย ดัชนีราคาผู้ผลิต เงินเฟ้อ ดัชนีความเชื่อมั่น ดัชนีภาคอุตสาหกรรม ทุกตัวไม่ดีหมด เศรษฐกิจภาพรวมมีความน่ากังวล และทุกคนคิดเหมือนกันคือจะซึมยาว ดังนั้นกระทบกับจีดีพีในภาพรวมลดลงแน่ ๆ อาจจะเห็นตัวเลข 1% ปลาย ๆ”
Policy Coordination สำคัญมาก
ผู้อำนวยการแบงก์ออมสินระบุว่า ไทยเผชิญปัญหา “เชิงโครงสร้าง” การแก้ไขคงไม่ได้มีแค่ One Solution ที่ยิงโครงการเดียวแล้วสามารถแก้ไขได้หมด แต่จะต้องมีจิ๊กซอว์ที่เชื่อมต่อกัน แก้ด้วยหลาย ๆ มาตรการที่ส่งต่อกัน ซึ่งปัญหาไม่ได้หายเลย แต่เป็นการบรรเทาปัญหา เช่น ปัญหาหนี้ครัวเรือน ไม่สามารถใช้มาตรการแก้หนี้ แล้วจบเลย แต่ต้องใช้การ Synchronize ให้สอดคล้องกัน
“การประสานงานนโยบาย หรือ Policy Coordination จะมีความสำคัญมาก ไม่ว่าจะนโยบายการเงิน การคลัง แบงก์รัฐ การใช้หน่วยงานรัฐอื่น กระทรวงพาณิชย์ นโยบายไม่ใช่ภาษี (Nontariffs) ทุกอย่างจะต้อง Coordination และทยอยแก้ปัญหาไป ซึ่งการจะใช้นโยบายการคลังอย่างเดียว การเงินอย่างเดียว ทำนโยบายแบบตัวใครตัวมัน ไม่มีทางแก้ได้”
โดยการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ต้องอาศัยหลายมาตรการ หลายเครื่องมือจากหลายหน่วยงาน ซึ่งต้องมี Policy Coordination แต่วันนี้เหมือนไม่มีเจ้าภาพ ไม่มีคนหัวโต๊ะ หรือความเห็นไม่ตรงกัน เลยแก้ปัญหาไม่ได้
ธปท.ต้องมีบทบาทช่วยมากขึ้น
นอกจากนี้ นายวิทัยกล่าวว่า ในส่วนของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะต้องเข้ามามีบทบาท เข้ามาช่วยมากขึ้น โดยที่ผ่านมา ธปท.ประสบความสำเร็จ และทำได้ดีมากในเรื่องของ “เสถียรภาพด้านราคา” และเรื่องของ “ความแข็งแรงของระบบการเงิน” เหมือนกับสิ่งที่ตรึงมากับปัญหาตั้งแต่วิกฤตปี 2540 เพราะฉะนั้น สถาบันการเงินต้องแข็งแรง ระบบการเงินต้องแข็งแรง ส่วน “เงินเฟ้อ” ก็คุมให้อยู่ใต้กรอบ
“อย่างไรก็ดี ธปท.ต้องมาดูการเติบโต (Growth) ของเศรษฐกิจในระยะยาวด้วย เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่โต รายได้ไม่มา ก็ไม่ต้องพูดถึงตัวอื่น ไม่ต้องพูดถึงการกระจายรายได้ ไม่ต้องพูดถึงการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน เพราะสุดท้าย เสถียรภาพราคาดี เสถียรภาพระบบการเงินแข็งแรง ต้องทำให้เศรษฐกิจโตด้วยเพื่อให้มีรายได้ และแก้ปัญหาเรื่องคน ความเหลื่อมล้ำ ความยากจน หนี้ครัวเรือน มันก็จะเป็น Micro Stability ที่สอดคล้อง ทำให้แข็งแรงจริงจัง”
เปิดแนวคิดแก้หนี้ครัวเรือนยั่งยืน
นายวิทัยฉายภาพการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนว่า หลัก ๆ คือ 1.เศรษฐกิจต้องโต รายได้ต้องขึ้น หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะลงเอง เพราะคนมีรายได้มากขึ้น 2.ต้องลดดอกเบี้ย ไม่ใช่ลดดอกเบี้ยนโยบาย แต่หมายถึงการที่แบงก์จะต้องลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้สอดคล้อง เพราะจะเห็นว่าเวลาขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 8 ครั้ง MLR, MOR, MRR ขึ้น 8 ครั้งที่ 0.25% เท่ากับดอกเบี้ยนโยบาย แต่เวลาดอกเบี้ยนโยบายลง จะเห็นว่าดอกเบี้ยเงินกู้ปรับลดลงช้า และลงในอัตราที่น้อยกว่าดอกเบี้ยนโยบายมาก ซึ่งสะท้อนว่าการแข่งขันของระบบสถาบันการเงินไม่ดี
ดังนั้นต้องทำให้แข่งขันมากขึ้น และ 3.ต้องทำมาตรการโอนหนี้เสียที่มีการตั้งสำรองหมดแล้วไปไว้ที่หน่วยงานใหม่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC)
“การแก้ปัญหาหนี้เสียต้องใช้ความพยายาม และต้องใช้หลายมาตรการช่วยกัน แต่ถ้า Policy Coordination ไม่ไปด้วยกัน ก็จบ ลดดอกเบี้ยลึกพอมั้ย ลดต่อเนื่องมั้ย ลดแบบที่เป็น Cycle ปกติ ลดแบบสาดแล้วส่งสัญญาณ และออกมาตรการทางการเงิน แต่ดอกเบี้ยนโยบายไม่ใช่ตัวเดียว ต้องมีมาตรการร่วมสำคัญ” นายวิทัยกล่าว
“ดร.รุ่ง” กาง 3 โจทย์สำคัญผู้ว่าการคนใหม่
“ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส” รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. ให้สัมภาษณ์พิเศษ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า บทบาทของผู้ว่าการ ธปท. มีอย่างน้อย 3-4 เรื่อง ที่มีความจำเป็นต้องทำ อย่างแรกที่สุดที่สำคัญในระยะสั้นมาก ก็คือเรื่องการนำพาให้เศรษฐกิจไทยผ่านพ้นพายุช่วงนี้ให้ได้ เพราะเป็นช่วงที่มีพายุเข้ามารุมเร้าประเทศไทยค่อนข้างเยอะ สิ่งที่สำคัญก็คือ ไม่ทำให้น้ำกระเพื่อมมากจนทำให้ประชาชน หรือธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กที่มีความสามารถในการต้านทานแรงลมพายุได้น้อย จนทำให้เขายืนไม่อยู่ อันนี้เป็นเรื่องการรักษาเสถียรภาพในภาพรวมยังคงมีความสำคัญ
ธปท.ต้องดูแลไม่ให้มีอย่างอื่นมาซ้ำเติม อย่างในระยะสั้นต้องระมัดระวังไม่ให้โดน “Credit Downgrade” เพราะจะเป็นต้นทุนการกู้ยืมของทั้งประเทศเลย ไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง
“ในส่วนของ ธปท.อย่างน้อย การทำนโยบายการเงินต้องอธิบายได้ ถ้าเราก็เพลี่ยงพล้ำไม่สามารถจะอธิบายได้ ว่าทำไมที่ผ่านมาลดดอกเบี้ยเท่านี้ ไม่ลดมากกว่านี้ ไม่ลดเร็วกว่า ไม่ลดช้ากว่านี้ อันนั้นก็จะยิ่งบั่นทอนความน่าเชื่อถือ”
ภูมิทัศน์การเงินใหม่
เป้าหมายระยะกลาง สิ่งที่ต้องการสานต่อคือเรื่อง “ภูมิทัศน์ใหม่การเงินไทย” เพราะเป็นการทำให้ภาคการเงินของประเทศไทย ภาคสถาบันการเงินตอบโจทย์ภาคสังคมไทยได้มากขึ้น ที่ผ่านมามีการพูดกันว่ายังมีคนที่ยังเข้าไม่ถึงภาคสถาบันการเงิน หรือเข้าได้น้อยเกินไป หรือด้วยต้นทุนที่แพงเกินไป
อย่างเช่น การถูกชาร์จดอกเบี้ยที่แพงเกินไป มองไปยังไง ๆ ก็ต้องเพิ่มการแข่งขัน ต้องเพิ่มความหลากหลายของคนที่จะเข้ามาเล่น คนใหม่ ๆ อาจจะนำพามาซึ่งเทคโนโลยีใหม่ ๆ และต้นทุนการดำเนินงานที่ต่ำลง โดยเฉพาะถ้าเข้าโฟกัสในบางเซ็กเมนต์ของลูกค้า อันนี้เราได้ปูพื้นมาแล้ว 2-4 ปี แต่ยังคงต้องทำต่อเนื่อง ไม่ใช่เป็นของที่จะทำสำเร็จ แต่หลัก ๆ เป็นเรื่องของ 3 Open
อย่างแรกก็คือ Open Data ข้อมูลต่าง ๆ จะต้องไหลเวียนมากขึ้น เพื่อที่จะได้เป็นเครื่องมือในการที่ทุกคนเอาไปใช้ในการวิเคราะห์ได้มากขึ้น อันที่สอง ก็คือ Open Infrastructure มีโครงสร้างพื้นฐาน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้าในโครงสร้างพื้นฐานนั้นได้เท่าเทียมกัน หากเข้าไม่ได้มากพอก็ไม่ได้นำพาให้การแข่งขันที่ยังไม่ค่อยเสมอภาค หรือแข่งขันไม่เต็มที่
เปิดเวทีผู้เล่น-แข่งขันมากขึ้น
และสาม Open Competition นอกจากการเปิดให้มีแบงก์ใหม่ ๆ อย่าง Virtual Bank ที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย ไม่มีต้นทุนสาขาพนักงานทำให้ต้นทุนทำความรู้จักลูกค้าน้อยกว่าธนาคารดั้งเดิม อีกกลุ่มหนึ่งน่าจะมีบทบาทมากขึ้นคือ “น็อนแบงก์” สถาบันการเงินที่ไม่ได้รับเงินฝาก แต่อาจจะปล่อยกู้ หรือทำกิจกรรมอย่างอื่น ก็อยากเห็นบทบาทของคนกลุ่มนี้ ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ทำได้มากขึ้น
ส่วนหนึ่งน่าจะต้องมีการแก้เรื่องของกฎระเบียบ เพราะการให้ไลเซนส์ของ ธปท.ที่ผ่านมา ทำให้กลุ่มน็อนแบงก์ทำงานเป็นไซโล คืออยู่ในกระบอกแคบ ๆ ของธุรกิจ ซึ่งตามแนวคิดก็อยากจะเห็นน็อนแบงก์ทำอะไรได้คล่องตัว ประกอบธุรกิจในวงที่กว้างขึ้นได้ ซึ่งอันนี้จะช่วยตอบโจทย์ผู้ใช้บริการทางการเงินได้มากขึ้น
“เราอาจจะต้องกลับมาดูเรื่องของไลเซนส์ หรือการให้ใบประกอบธุรกิจ ซึ่งทุกวันนี้เราให้ตามกิจกรรม เราก็ต้องมาพิจารณาว่าเป็นไลเซนส์ที่สามารถทำกิจกรรมได้หลากหลายมากขึ้น อันนี้ก็จะช่วยให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัวมากขึ้น ใช้สมองไปคิดอะไรใหม่ ๆ ได้มากขึ้น”
ดร.รุ่งกล่าวว่า ขณะที่มีเสียงสะท้อนว่าแบงก์กำไรเยอะ ส่วนหนึ่งก็มาจากที่มีการแข่งขันน้อยเกินไป การทำภูมิทัศน์การเงินใหม่เป็นการแก้ปัญหาระยะยาว คือไม่ได้มองแค่แบงก์กำไรดูเยอะ แต่เพราะว่าแข่งขันน้อยเกินไปมั้ย จะมีอะไรที่กระตุ้นให้เขาแข่งได้มากขึ้น อันหนึ่งเพิ่มผู้เล่น พร้อมเปิดเรื่อง Open Data เพราะถ้าไม่เพิ่มข้อมูลก็ไม่อาจจะทำให้ผู้เล่นคนใหม่แข่งขันได้ เพราะฉะนั้นต้องดูด้วยว่าคนใหม่ที่เข้ามา ก็ต้องสามารถแข่งขันได้ อยู่แล้วยั่งยืน เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาพวกนี้ต้องทำให้เป็นระบบ และต้องเดินอย่างมีขั้นมีตอน และต้องไม่เดินช้าเกินไป
สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ
โจทย์ข้อ 3 คือประเทศไทยต้องมีการเติบโตใหม่ (Growth Engine) และ ธปท.เป็นส่วนหนึ่งของหน่วยงานภาครัฐต้องมีส่วนช่วยเรื่องนี้ และสำคัญที่สุด คือ เสถียรภาพ (Macro Stability) เป็นหน้าที่พันธกิจหลักของเรา และเรื่องของความยากง่ายของการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) ซึ่ง ธปท.ดูแลภาคการเงินกว้างขวางพอสมควร ดังนั้น การลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น การพิจารณาขอบเขตการทำธุรกิจได้คล่องตัวมากขึ้น มีต้นทุน Acquisition น้อยลง และการมีส่วนร่วมในการออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนผ่าน
และเรื่องของ “ระบบการชำระเงิน” ที่ไทยมีระบบการชำระเงินที่ดี แต่ผลิตภัณฑ์ที่ควรมียังมีน้อยเกินไป การดูแลในเรื่องของความทนทาน การไม่เสี่ยง การพึ่งพาต่างประเทศน้อยลง รวมทั้งเอื้อให้เกิดนวัตกรรมต่าง ๆ ให้มากขึ้น เป็นสิ่งที่อยากจะผลักดัน
เชื่อมการประสานงาน “ธปท.-คลัง”
ดร.รุ่งกล่าวถึงการประสานงานนโยบายการเงินและการคลังว่า การทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ในภาครัฐของ ธปท. ดูเหมือน “เหินห่าง” แต่ในมุมมองของตัวเองก็คิดว่า จริง ๆ มีการประสานงานกันอยู่ในระดับคนทำงานในหลายเรื่องด้วยกัน แต่หลาย ๆ ครั้งอาจมีการ “พูดน้อยเกินไป” ทำให้ความเข้าใจไปคนละทิศคนละทาง หรือไม่ตรงกัน จึงต้องมีการ “พูดคุยบ่อยขึ้น” และต้อง “พูดคุยกันเร็วขึ้น” เพราะที่ผ่านมาอาจจะคุยกันช้าเกินไป แทนที่จะไปปรึกษาหารือกันตั้งแต่ต้น ๆ
“ต่อไปก็จะคุยกันมากขึ้น คุยกันเร็วขึ้น และคุยกันเงียบ ๆ ไม่ต้องผ่านสื่อ จะทำให้ประสิทธิภาพการประสานงานดีกว่าเดิม”
นอกจากนี้ สิ่งที่อยากเห็นคือ ไม่ใช่แค่การประสานงานในระดับใดระดับหนึ่งเท่านั้น แต่อยากให้น้อง ๆ มีโอกาสไปพูดคุยกับคนทำงานในองค์กรอื่น ๆ เพื่อให้คน Connect กัน ไม่จำเป็นต้องเป็นงานอย่างเดียว แต่อาจจะเป็นโครงการที่จะมาทำให้เราร่วมกันคิด หรืออะไรที่ช่วยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็น รู้จักกัน เป็นอะไรที่ทำให้ความสัมพันธ์ในระยะยาวแข็งแรงขึ้น
“เป็นจุดที่ปรับปรุงเพิ่มเติมได้ ถ้าหากได้มีโอกาสรับตำแหน่ง และสามารถเป็นคนที่สามารถกำหนดการพูดคุยต่าง ๆ ได้มากขึ้น ก็อยากที่จะ Proactive มากขึ้น ในการที่จะออกไปคุยตั้งแต่ต้นมือ ตั้งแต่ยังไม่เกิด Issue อะไร เพราะก็อยากจะเข้าใจด้วยว่ามุมมองของคนอื่นเป็นอย่างไร มุมมองของเราเป็นอย่างไร เราจะได้มีโอกาสอธิบายข้อจำกัดต่าง ๆ หรือความกังวลในด้านต่าง ๆ ที่เรามีให้กับเขา”
“กองหลัง” ที่พร้อมดันสูง
แคนดิเดตผู้ว่าการแบงก์ชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า หน้าที่ของ ธปท. หรือธนาคารกลางทั่วโลก ทำงานเหมือน “กองหลัง” ที่จะต้องระมัดระวังไม่ให้เกิดวิกฤต เพราะต้องดูแล “เสถียรภาพ” ซึ่งในบางครั้งเศรษฐกิจมีความจำเป็นต้องการ “กองหลัง” ที่ต้องสนับสนุน “กองหน้า” ในลักษณะ Active มากขึ้นในภาวะไม่ปกติ เป็นเรื่องที่ต้องมีการพูดคุยกัน โดยจะต้องมี “โค้ช” ที่จะเป็นคนบอกว่า “กองหน้า” ทำอะไรอยู่ และต้องให้กองหลังได้ยินด้วย ไม่ใช่แค่มาบอก “กองหลัง” ต้องดันสูง แต่ต้องบอกด้วยว่ากองหน้าทำอะไรอยู่ เราในฐานะกองหลังก็ต้องรู้บทบาทของผู้เล่นทุกตัว เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าทำไมช่วงนี้ต้องดันสูง แต่ก็ต้องเหนื่อยเพราะต้องดูแลประตูด้วย และ “โค้ช” หรือผู้นำด้านเศรษฐกิจจะต้องรู้ เป็นคนประสานความสัมพันธ์ของผู้เล่นทุกตัว
“อิสระ” เพื่อดูแล ศก.ระยะยาว
นอกจากนี้ ดร.รุ่งอธิบายถึงความ “อิสระ” ของธนาคารกลางว่า คือ อิสระในการตัดสินใจที่จะบอกได้ว่า “ฉันมองเศรษฐกิจในระยะที่ยาวกว่าคนอื่น” แต่ท้ายที่สุดเราก็มองเศรษฐกิจเดียวกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้ถูกกำหนดโดยวัฏจักรของ “การเมือง” เพราะไม่อย่างนั้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะอยู่ในวังวน “ระยะสั้น” ซึ่งอย่างน้อย ธปท.จะไม่มีแรงกดดันระยะสั้นเท่ากับหน่วยงานในราชการอื่น ๆ และมีโอกาสพูดในมุมมองของตัวเอง อย่างไรก็ดี ธปท.ยังสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ แต่การเติบโตจะต้องยั่งยืนด้วย
ทั้งนี้การทำงานยังยึดโยงเป้าหมายเดียวกัน คือทำให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น และดีขึ้นในระยะยาว ทุกคนมีหน้าที่ทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโต เพียงแต่ว่า “อิสระ” ในที่นี้เพื่อที่จะให้สามารถแสดงความคิดเห็นที่ให้มุมมองในระยะยาวมากกว่าคนอื่น เพราะท้ายที่สุดเศรษฐกิจไม่สามารถขับเคลื่อนด้วยองค์กรใดองค์กรหนึ่งอยู่แล้ว เราต้องทำงานไปด้วยกัน ไม่ใช่คำว่า “อิสระ” ที่จะทำอะไรก็ได้
“การทำงานของธนาคารกลางต้องอธิบายได้ คือถ้าเราจะมีอิสระแสดงความเห็น อธิบายได้ว่าที่ฉันเห็นอย่างนี้ เพราะฉันมีเหตุผล การสื่อสาร และการอธิบายให้คนเข้าใจ”
แบงก์ชาติในอนาคตต้อง “ยื่นมือ” มากขึ้น
ดร.รุ่งอธิบายว่า ภายใต้สโลแกนของ ธปท. “ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน” ภาพต่อไปที่อยากจะเห็นแบงก์ชาติคือ ยื่นมือ อาจจะต้องให้มากขึ้น และยื่นให้เร็วขึ้น บ่อยขึ้น และยื่นให้กับคนที่จำนวนมากขึ้น และทำอย่างเป็นระบบ รับฟังจริง ๆ และเอามาตกผลึกข้างในของเราด้วย เพราะที่ผ่านมา วัฒนธรรมของ ธปท.ไม่อยากให้คนที่ไปกำกับคนอื่น เข้าไปสุงสิงกับคนที่เรากำกับมากจนเกินไป เพราะเกรงว่าเราจะขาดความเป็นกลาง
แต่จากประสบการณ์ของตัวเองก็เคยไปทำงานในภาคเอกชนในธนาคารกรุงไทย และไม่ได้ตัดสินใจเบี้ยว เพราะไปทำงานในภาคเอกชน แต่ทำให้เราตัดสินใจดีขึ้น เพราะเขามีข้อมูล เช่น เราอาจจะมีเป้าหมายที่ดี แต่การนำไปปฏิบัติ (Implementations) เราต้องยอมรับก่อนว่า คนที่อยู่ในโลกการทำธุรกิจจริง เขารู้มากกว่าเรา เพราะฉะนั้น การรับฟังจากเขาทำให้เราทำงานได้ดีขึ้น อย่าไปกลัวที่จะทำความรู้จักกับคนอื่น แค่เราต้องมั่นใจว่าเรามีหมุดยืนที่เข้มแข็งเท่านั้นเอง
“ในเรื่องของการยื่นมือ ยื่นตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ที่จะรับฟัง และคงไม่ใช่แต่ ‘ผู้ว่าการ’ คนเดียว แต่หมายถึง ‘ทั้งองค์กร’ ก็อยากจะ Encourage ให้น้อง ๆ มีประสบการณ์ในจุดนี้ด้วยมากขึ้น ก็เป็นอีกจุดที่อยากเห็น”