
คอลัมน์ : เติมความคิดพิชิตการลงทุน ผู้เขียน : พบชัย ภัทราวิชญ์ บริษัทหลักทรัพย์อินโนเวสท์ เอกซ์
การเมืองไทยถึงคราวที่เป็นจุดเปลี่ยนอีกครั้ง หลังจากเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวระหว่างรอการวินิจฉัยข้อกล่าวหาตามคำร้องของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยมีเวลา 15 วันในการยื่นคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาลรัฐธรรมนูญ
แม้ตลาดหุ้นไทยจะตอบรับข่าวนี้ในเชิงบวกด้วยการปรับขึ้นแรง แต่ในแง่ของผลกระทบต่อเศรษฐกิจนั้น เรามองความไม่แน่นอนทางการเมืองอาจส่งผลลบต่อ GDP ปี 2568 ที่ราว -0.3 จุด ถึง -0.5 จุด ขึ้นกับพัฒนาการทางการเมืองในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้าต่อจากนี้
ทั้งนี้ เราแบ่งฉากทัศน์ออกเป็น 2 กรณี คือ (I) กรณีฐาน เรามองว่า จะมีการปรับ ครม. และยุบสภาหลัง พ.ร.บ.งบประมาณผ่าน ซึ่งจะเป็นผลลบต่อ GDP -0.3 จุด ไปสู่ 1.1% จากการบริหารราชการที่ล่าช้า (II) แต่หากมีความเสี่ยงในการยุบสภาก่อน พ.ร.บ.งบประมาณผ่าน อาจทำให้งบประมาณประจำปี 2569 ไม่สามารถอนุมัติได้ทันภายในวันที่ 30 ก.ย. ซึ่งจะกระทบต่อ GDP ราว -0.5 จุด ไปสู่ 0.9%
ทางด้านประเด็นการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามได้ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พิชัย ชุณหวชิร เป็นตัวแทนในการเจรจากับตัวแทนของฝั่งสหรัฐ ที่ประกอบด้วย หอการค้าแห่งสหรัฐ (U.S. Chamber of Commerce) นำโดย Charles Freeman, Senior Vice President, Asia และคณะผู้แทนระดับสูงจากบริษัทชั้นนำของสหรัฐ ที่ลงทุนและดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
โดยก่อนหน้านี้ ทางสหรัฐได้ส่งข้อเสนอเบื้องต้นให้ไทยพิจารณา โดยเสนอให้ลดภาษีจาก 36% เหลือ 18% แต่ไทยต้องการเจรจาเพื่อลดลงมาอีกให้เหลือ 10% เช่นเดียวกับประเทศอื่น ๆ ที่ถูกเก็บภาษีในระดับทั่วไป ทั้งนี้ การเจรจาการค้ากับสหรัฐ ถือเป็นภารกิจที่ท้าทายและต้องแข่งกับเวลา เนื่องจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกมากล่าวเตือนว่า

เขาไม่มีแผนที่จะขยายระยะเวลาผ่อนผันการเรียกเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) กับประเทศคู่ค้าหลังจากวันที่ 9 ก.ค. ซึ่งเป็นเส้นตายที่เขากำหนดไว้ และรัฐบาลของเขาจะส่งจดหมายแจ้งไปยังประเทศต่าง ๆ เกี่ยวกับภาษีที่สหรัฐจะเรียกเก็บกับประเทศดังกล่าว เว้นแต่จะสามารถบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐ
ดังนั้น ในระยะสั้น เรายังมอง SET จะแกว่งตัวผันผวน จนกว่าการเมืองในประเทศจะเริ่มนิ่งมากขึ้น รวมทั้งการเจรจาการค้าได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากขึ้น เราประเมิน SET Index ที่บริเวณ 1,100 จุด คิดเป็น PER ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว สำหรับกลยุทธ์การลงทุน แนะนำดังนี้
1.หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและต้านทานความเสี่ยงภายนอกได้ แนะนำ ADVANC, BCH, DIF
2.หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป) โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div. Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC, BBL, PTT
3.หุ้น Earnings Play ซึ่ง 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโต YOY และ QOQ แนะนำ ADVANC, CPALL, BTG
4.หุ้น Undervalue (PER PBV < -1SD) ซึ่งคาดให้ Div. Yield ไม่ต่ำกว่าปีละ 3% แนะนำ BBL, BCPG, BDMS, CPALL, DIF, PTT, SIRI, TIDLOR
5.หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐอย่างกลุ่มปูนซีเมนต์และท่องเที่ยว แนะนำ SCC, SCCC, ERW, CENTEL, AAV