ลุ้นไทยปิดดีลภาษีสหรัฐ ทัน 9 ก.ค. นี้ สศช.จ่อปรับจีดีพี หากเสียเปรียบเวียดนาม

นายดนุชา พิชยนันท์

สภาพัฒน์หวังไทยปิดดีลภาษีสหรัฐทันเดดไลน์ 9 ก.ค. คาดโดนเก็บ 18% เล็งประเมินจีดีพีใหม่หากถูกรีดภาษีสูงกว่าเวียดนาม

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์เปิดเผยถึงการเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา ว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถประเมินผลกระทบจากกรณีสหรัฐพิจารณาปรับสิทธิพิเศษทางภาษีได้อย่างชัดเจน เนื่องจากการเจรจายังไม่เสร็จสิ้น และไทยยังไม่ทราบว่าอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐจะอยู่ที่ระดับเท่าไหร่

“เราอยู่ในกลุ่มที่การเจรจายังไม่เสร็จ ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ เพราะยังไม่เห็นรายละเอียด แต่เชื่อว่าทีมของนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เร่งเตรียมข้อมูลส่งก่อนเส้นตายวันที่ 9 ก.ค. 68 นี้แน่นอน” นายดนุชากล่าว

นายดนุชากล่าวว่า สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจ หากไทยยังถูกเก็บภาษีในอัตรา 36% ขณะที่เวียดนามได้ลดเหลือ 20% และประเทศอื่นไม่มีการเปลี่ยนแปลง กรณีดีที่สุดคาดว่าเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) จะขยายตัวได้อยู่ที่ 1.3-2.3% แต่ทั้งนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปว่าไทยจะถูกเก็บภาษีเท่าไหร่ ก็คงต้องมีการคำนวณตัวเลขจีดีพีใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง

“การประเมินยังทำได้ยาก เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อินโดนีเซียจะได้เท่าไร มาเลเซียมีผลแค่ไหน และสุดท้ายไทยจะโดนเท่าไร ไม่มีใครคาดเดาทรัมป์ได้ สมมติฐานยังเยอะมาก ตอนนี้ต้องคำนวณตัวเลขเศรษฐกิจใหม่ทั้งหมด”

นายดนุชากล่าวว่าในส่วนของงบประมาณเพื่อรองรับผลกระทบวงเงิน 40,000 ล้านบาทที่กันไว้สำหรับบรรเทาผลกระทบยังคงมีอยู่ และอยู่ระหว่างปรับปรุงข้อมูลโครงการต่าง ๆ

ส่วนด้านสถานการณ์เศรษฐกิจภาพรวม ตัวเลข 5 เดือนแรกของปีนี้ถือว่ายังดูดี โดยภาคการลงทุนภาคเอกชนยังขยายตัวได้ดี และนักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังเดินทางเข้ามาต่อเนื่อง แม้นักท่องเที่ยวจีนจะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ก็ตาม ขณะที่ภาครัฐต้องเร่งลงทุนเพื่อช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนภาคการส่งออกยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด

ADVERTISMENT

นอกนี้สภาพัฒน์คาดการณ์เบื้องต้นว่าสหรัฐอาจกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยไว้ที่ระดับ 18% โดยอิงจากการพิจารณาข้อมูลของ 3 ประเทศที่ได้เจรจาการค้ากับสหรัฐแล้ว ได้แก่ จีน อังกฤษ และเวียดนาม ซึ่งหากไทยถูกจัดเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า 18% จาก 36% ก็จะถือว่าเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในภาพรวม

ส่วนกรณีสินค้านำเข้าจากสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ถั่วเหลือง ข้าวโพด และหมูเนื้อแดง นายดนุชาระบุว่าไม่ได้เป็นปัจจัยลบที่รุนแรงนัก เนื่องจากสินค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่นำเข้ามาเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิต และแปรรูปเพื่อส่งออกต่อไป ซึ่งสะท้อนว่าไทยยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าวัตถุบางชนิดที่ไม่สามารถผลิตได้เองในประเทศ