กูรูเตือนรับมือ “ค่าเงิน-หุ้น” ผันผวน รู้ทันเกม “ทรัมป์” ยกระดับสงครามการค้า

สงครามทางการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน ยังสร้างความปั่นป่วนต่อการค้าโลกอย่างต่อเนื่อง

โดยสถานการณ์ล่าสุด (11 ก.ค. 2561) “โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศเพิ่มการเก็บภาษีจากการนำเข้าสินค้าจีนเป็น 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ครอบคลุมสินค้าจำนวนถึง 6,000 รายการ จากก่อนหน้านั้นที่ “ทรัมป์” ประกาศจะเก็บภาษีจากจีนแค่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงเท่ากับว่า เป็นการ “ยกระดับ” สงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศให้รุนแรงยิ่งขึ้น

ส่งผลให้ประเทศอื่น ๆ พากันปวดหัวไปด้วย รวมถึงประเทศไทย โดย “วิรไท สันติประภพ” ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมรับว่า มาตรการล่าสุดที่สหรัฐออกมานั้น แม้ว่าไทยจะไม่ได้เป็นประเทศที่โดนสงครามทางการค้าโดยตรง แต่คงปฏิเสธว่าไม่มีผลกระทบเลยคงไม่ได้ เนื่องจากมีสินค้าจีนไม่น้อย ที่ผลิตและส่งออกจากไทย

วิรไท สันติประภพ – ปริญญ์ พานิชภักดิ์

จึงนับว่าเป็นความเสี่ยง ไม่ใช่แค่เศรษฐกิจไทย แต่กระทบไปถึงเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกที่พึ่งพาการค้าจากต่างประเทศระดับสูงด้วย แม้สัดส่วนสินค้าส่งออกไทยไปจีนจะมีค่อนข้างน้อย แต่คงชะล่าใจไม่ได้ เนื่องจากเป็นผลกระทบในแง่ซัพพลายเชน (ห่วงโซ่อุปทาน) เพราะบริษัทต่าง ๆ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกันหมด ดังนั้นต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด

ขณะเดียวกันความปั่นป่วนที่เกิดจากสงครามทางการค้าดังกล่าว ยังส่งผลกระทบต่อตลาดเงินตลาดทุนให้ผันผวนตามไปด้วย ซึ่งจะเห็นได้ผ่านอัตราแลกเปลี่ยนที่เคลื่อนไหวผันผวน และเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยหน้าที่ของ ธปท.คือการเข้าไป “ดูแลค่าเงินบาท” ไม่ให้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว จนกระทบต่อการทำงานของตลาดเงินตลาดทุนและกระทบต่อภาคธุรกิจ สะท้อนได้จากบางช่วงที่ทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงหรือเพิ่มขึ้น

“เห็นได้จากตัวเลขทุนสำรองที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งสะท้อนว่า ธปท.มีการเข้าไปดูแลบางช่วง แต่ต้องระวัง เพราะอีกด้าน เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มาจากมูลค่า เพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงค่าเงินที่ ธปท.ถืออยู่ เช่น เราถือเงินสกุลยูโรไว้ แต่พอยูโรอ่อนค่าลง เวลาตีมูลค่าเป็นดอลลาร์สหรัฐ ก็จะมีมูลค่าที่ลดลง ดังนั้น บางครั้งที่ตัวเลขทุนสำรองมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่า ธปท.เข้าไปซื้อหรือขายทุกครั้งไป ดังนั้นจะเห็นได้ว่าระยะ 1-2 ปีที่ผ่านมา ธปท.มีการสะสมทุนสำรองไว้ เพื่อรับกับสถานการณ์เหล่านี้ เวลามีเงินไหลออก ทุนสำรองจะทำให้เรามีกันชน เพื่อลดแรงปะทะที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจและภาคธุรกิจได้” นายวิรไทกล่าว

ฝั่งตลาดหุ้น “ปริญญ์ พานิชภักดิ์” กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) บอกว่า ช่วงนี้เป็นช่วงทยอยประกาศผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2561 ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แต่ผลประกอบการโดยรวม น่าจะออกมาอืด ๆ เพราะ “ถูกกด” โดยกลุ่มแบงก์ เนื่องจากการปล่อยสินเชื่อยังทำไม่ได้มาก ขณะที่การบริโภคในประเทศยังไม่ดีนัก จึงทำให้ตลาดหุ้นในเดือน ก.ค.นี้อาจจะแกว่ง ๆ กดดัชนีเคลื่อนไหวบริเวณ 1,600 จุด แต่คาดว่าไตรมาส 3/2561 จะเริ่มดีขึ้น เพราะเริ่มเห็นสัญญาณกองทุนรวมซื้อกลับเข้ามาแล้ว จึงแนะนำว่าควรทยอย “ซื้อ” เก็บไว้ เพราะเมื่อเข้าสู่ 3 เดือนสุดท้ายของปี ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะพุ่งขึ้น 300 จุดเหมือนกับปีที่แล้วได้

ทั้งนี้ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ ดัชนีมีโอกาสกลับไปยืนในระดับ 1,800-1,900 จุดได้ ภายใต้ 2 ปัจจัยที่จะต้องเกิดขึ้น คือ 1.การประกาศวันเลือกตั้งของไทยออกมาชัดเจน ซึ่งจะมีความสำคัญต่อฟันด์โฟลว์ที่จะไหลกลับเข้ามา แม้จะเผชิญแรงกดดันจากสงครามการค้าและธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอยู่ก็ตาม และ 2.ทิศทางการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ภาครัฐพยายามปลดล็อกให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ทำให้งานประมูลในปีนี้จะเกิดขึ้นจำนวนมาก ส่วนงานที่ประมูลไปแล้ว เช่น รถไฟความเร็วสูงที่มีร่างขอบเขตของงาน (TOR) ซื้อซองประมูลแล้ว น่าจะรู้ผลทันก่อนสิ้นปีนี้ และน่าจะมีการเปิด TOR เรื่องรถไฟรางคู่และรถไฟฟ้าส่วนขยายสายสีส้มและสีม่วงเพิ่มอีก เพราะฉะนั้น ทิศทางการก่อสร้างจะช่วยขับเคลื่อนตลาดหุ้นได้ ทำให้ตลาดหุ้นไตรมาส 4 มีโอกาสปรับขึ้นแรง โดยเฉพาะช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี

“ภาวะตลาดหุ้นไทยระยะสั้นถูกขับเคลื่อน โดยบรรยากาศของการค้าโลก ซึ่งทรัมป์เป็นนักธุรกิจที่ต้องการจะควบคุมเกม ดังนั้นสงครามการค้าโลกไม่น่าจะเกิด และทรัมป์จะลดระดับความเข้มข้นนโยบายในเดือน พ.ย.-ธ.ค. 2561 นี้ จากการเลือกตั้งอเมริกาที่จะเกิดขึ้น พอการเลือกตั้งจบ โทนในการต่อรองกับ “สี จิ้นผิง” ซึ่งทั้ง 2 ประเทศไม่ได้ทะเลาะกัน แต่เป็นเกมการเมืองที่ไม่กระทบเศรษฐกิจทั้ง 2 ประเทศ และจีนก็สามารถหาตลาดอื่นไปได้ และอเมริกาก็รู้ตัวว่าทำตรงนี้รุนแรงไปอาจจะไม่ดี เพราะฉะนั้นสงครามการค้าจะเบาลง” นายปริญญ์กล่าว

ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่ก่อโดยมหาอำนาจของโลก นักลงทุนคงต้องประเมินโอกาสและความเสี่ยง เพื่อรับมืออย่างมีสติกันต่อไป