การค้าบริการ ทางเลือกลดดีกรี สงครามการค้า สหรัฐ-จีน

คอลัมน์เลียบรั้วเลาะโลก

โดย ขวัญใจ เตชเสนสกุล EXIM BANK


ประเด็นร้อนที่ถูกกล่าวถึงและสร้างความปั่นป่วนให้บรรยากาศการค้าการลงทุนทั่วโลกมากที่สุดนับตั้งแต่ต้นปี 2561 คงหนีไม่พ้น “สงครามการค้า” ระหว่างสหรัฐกับหลายประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะจีน ซึ่งเป็นคู่ปรับในการช่วงชิงการเป็นเบอร์หนึ่งด้านเศรษฐกิจของโลก และยังเป็นประเทศที่สหรัฐขาดดุลการค้ามากที่สุด ล่าสุดในปี 2560 สหรัฐขาดดุลการค้าสินค้ากับจีน 3.75 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2561 ที่ผ่านมา ถือเป็นวันที่สหรัฐกับจีนลั่นกลองรบอย่างเป็นทางการกันอีกครั้ง ผ่านการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างกันในอัตรา 25% คิดเป็นมูลค่ารวมกันราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเพิ่มขึ้นอีกกว่า 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในระยะถัดไป

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความกังวลให้แก่ภาคธุรกิจทั่วโลก เนื่องจากสหรัฐและจีนถือเป็นผู้ซื้อและผู้ขายสินค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้หลายฝ่ายต้องการให้ทั้งสองประเทศหาทางออกร่วมกันอย่างสันติเพื่อลดผลกระทบในวงกว้าง ทั้งนี้ หากพิจารณาโครงสร้างเศรษฐกิจของสหรัฐ พบว่าสหรัฐยังต้องพึ่งพาจีนอยู่หลายด้าน อาจด้วยเพราะสหรัฐเป็นสังคมการบริโภคแบบเต็มขั้น สะท้อนได้จากสัดส่วนการบริโภคภาคเอกชนต่อ GDP ที่ 70% สูงสุดเมื่อเทียบกับประเทศมหาอำนาจทั้งหมด ทำให้สหรัฐยังต้องพึ่งพาสินค้าอุปโภคบริโภคหลายชนิดจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าราคาถูกจากจีน ขณะเดียวกันที่ผ่านมา ผู้ประกอบการสหรัฐเองก็ได้กระจายห่วงโซ่อุปทานบางขั้นตอนไปผลิตในจีนเป็นจำนวนมาก ทำให้ห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐยังต้องพึ่งพาจีนในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักรกลต่าง ๆ ปัจจัยดังกล่าวทำให้สหรัฐจะยังขาดดุลการค้ากับจีนในระดับสูงและเป็นปัจจัยกดดันให้สหรัฐยังคงต้องทำสงครามการค้าสินค้ากับจีนอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม มีคำถามจากประชาคมโลกว่า แล้วจะมีวิธีใดบ้างที่อาจช่วยลดแรงปะทะไม่ให้เกิดสงครามการค้ารุนแรงได้ หนึ่งในคำตอบที่เริ่มมีการพูดถึงคือ “การค้าบริการ” ทั้งนี้ การค้าบริการถือเป็นภาคส่วนที่สหรัฐมีแต้มต่อและมีศักยภาพเหนือกว่าจีนอยู่หลายช่วงตัว สังเกตได้จากดุลบริการ โดยจีนเป็นประเทศที่สหรัฐเกินดุลบริการมากที่สุด ล่าสุดในปี 2560 สหรัฐ เกินดุลบริการกับจีนกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้หากพิจารณาในรายละเอียด พบว่าบริการที่สหรัฐเกินดุลกับจีนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ การท่องเที่ยว (รวมบริการด้านการศึกษา) ทรัพย์สินทางปัญญา และการเงิน ตามลำดับ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่คิดเป็นกว่า 70% ของมูลค่าเกินดุลรวม ซึ่งมีส่วนประกอบหลักมาจากบริการด้านการศึกษาเกือบ 50% ของการเกินดุลในภาคการท่องเที่ยวทั้งหมด ปัจจุบันนักศึกษาจีนถือเป็นนักศึกษาต่างชาติอันดับหนึ่งในสหรัฐ หรือคิดเป็นกว่า 1 ใน 3 ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมด และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเฉลี่ยราว 20% ต่อปีตลอด 10 ปีที่ผ่านมา

ทำให้การศึกษาถือเป็นภาคบริการที่สหรัฐสามารถกอบโกยรายได้จากจีนอย่างเป็นกอบเป็นกำมากที่สุด นอกจากนี้ สหรัฐยังมีความเข้มแข็งอย่างมากในการเป็นเจ้าของนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและการเงิน สะท้อนได้จากการจัดอันดับล่าสุดของบริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง PricewaterhouseCoopers (PwC) พบว่าบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลก 100 อันดับแรก เป็นบริษัทของสหรัฐมากถึง 54 บริษัท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ให้บริการด้านเทคโนโลยีและการเงินแทบทั้งสิ้น เทียบกับจีนซึ่งมีเพียง 12 บริษัทเท่านั้น

ปัจจัยนี้เองสะท้อนจุดแข็งในภาคบริการของสหรัฐที่ยังเหนือกว่าจีน แม้ว่าในระยะสั้นมูลค่าการเกินดุลบริการของสหรัฐกับจีนจะยังมีมูลค่าไม่มากนักเมื่อเทียบกับยอดขาดดุลการค้าสินค้า แต่หากดูอัตราขยายตัวของการเกินดุลบริการของสหรัฐกับจีนในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าขยายตัวเฉลี่ยถึง 15% ต่อปี สูงกว่าการขาดดุลการค้าสินค้าที่ขยายตัวไม่ถึง 4% ต่อปีค่อนข้างมาก ปัจจัยดังกล่าวสะท้อนถึงศักยภาพในการเติบโตของการค้าบริการของสหรัฐในอนาคต ซึ่งหากจีนนำประเด็นดังกล่าวมาใช้เป็นข้อแลกเปลี่ยนผ่านการเปิดเสรีการค้าบริการแก่สหรัฐมากขึ้น อาจช่วยให้ดีกรีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนในปัจจุบันบรรเทาความร้อนแรงลงได้


Disclaimer : คอลัมน์นี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับความคิดเห็นของ EXIM BANK