“ทองคำ” ไม่ได้แรงหนุน จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน

คอลัมน์ สถานีลงทุน

โดย ธนรัชต์ พสวงศ์ ฮั่วเซ่งเฮง โกลด์ ฟิวเจอร์ส

ราคาทองคำ spot ในช่วงครึ่งเดือนแรกของเดือนกรกฎาคมปรับตัวลงในระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน แตะ 1,236 ดอลลาร์ โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ จากตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐแข็งแกร่ง สอดคล้องกับการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ รวมถึงการเดินหน้าการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ เป็นปัจจัยกดดันตลาดทองคำ

สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนเริ่มระอุ

สหรัฐได้มีการประกาศบังคับใช้การเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในอัตรา 25% จำนวน 818 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งจีนก็ตอบโต้กลับด้วยการประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเช่นเดียวกันจำนวน 454 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ทั้งนี้ สหรัฐอาจจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนในวงเงินสูงกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ สูงเท่ากับมูลค่าสินค้าที่สหรัฐนำเข้าจากจีนในปี 2560 การประกาศบังคับใช้จริงของมาตรการดังกล่าวนั้น ส่งผลให้นักลงทุนเริ่มมีความกังวลว่าสงครามการค้าจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งจะเป็นการขัดขวางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก

ใครได้เปรียบเสียเปรียบ

เหตุผลที่สหรัฐเลือกทำสงครามการค้ากับจีนเพราะมีการนำเข้าสินค้าจากจีนมากที่สุด สัดส่วนถึง 21.8% ในปี 2560 เมื่อมาดูรายละเอียดสินค้านำเข้าจากจีนที่สหรัฐมีการเรียกเก็บภาษีนำเข้า สหรัฐเน้นสินค้าชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรกล และอุปกรณ์ด้าน IT เพื่อตอบโต้การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา นอกจากสหรัฐได้มีการนำเข้าสินค้าจากจีนในกลุ่มโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์ด้าน IT มีมูลค่ามากถึง 1.49 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2560 ทำให้สหรัฐคาดการณ์ว่าการขึ้นภาษีนำเข้าดังกล่าวจะช่วยลดการขาดดุลการค้ากับจีนได้ ในขณะที่จีนได้มีการเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐกับสินค้าเกษตร เนื้อหมู สัตว์ปีก ถั่วเหลือง ข้าวโพด รถยนต์ เนื่องจากจีนเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่นำเข้าถั่วเหลือง ข้าวโพด เนื้อหมู และเครื่องบินจากสหรัฐ ซึ่งจีนถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐสำหรับสินค้าเกษตร รวมถึงถั่วเหลือง

ผลกระทบที่เริ่มเกิดขึ้นคืออุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องคือรถยนต์เริ่มมีการปรับขึ้นราคารถยนต์ โดยเทสลา มอเตอร์ เริ่มปรับขึ้นราคารถยนต์รุ่น Model X และ Model S ในจีน ประมาณ 20% นอกจากนี้ สายการผลิตรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐของ BMW ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐแคโรไลนา ได้ทำการผลิตและส่งออกรถยนต์ BMW รุ่น X3 และ X6 ไปยังตลาดจีน อาจจะต้องประสบปัญหามากขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้สหรัฐมีการเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตรถยนต์ปรับตัวสูงขึ้นอยู่แล้ว ซึ่งการที่จีนได้มีการเรียกเก็บภาษีเพื่อตอบโต้สหรัฐก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำซ้ำรอยแก่อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องที่ส่งออกไปยังตลาดจีน จึงทำให้ราคาสินค้านั้นปรับตัวสูงขึ้นไปอีก และในที่สุดยอดขายสินค้าจะลดลง ราคาสินค้าที่สูงขึ้นจากมาตรการกีดกันทางการค้านั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายผู้บริโภคที่ต้องมาแบกภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น

และถึงแม้ว่าจีนจะได้รับผลกระทบเช่นกัน จากที่ต้องนำเข้ารถยนต์ ถั่วเหลืองในราคาที่แพงขึ้น แต่ทั้งนี้การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของสหรัฐส่วนใหญ่มาจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของครัวเรือน จึงคาดว่าจะกระทบต่อเศรษฐกิจของสหรัฐ ถึงแม้ในระยะสั้นอาจจะทำให้สหรัฐมีความได้เปรียบ โดยคาดทำให้ยอดขาดดุลการค้าลดลง ในขณะที่การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของจีนส่วนใหญ่มาจากการบริโภคของภาคเอกชนและการลงทุนของภาคเอกชน ไม่ได้พึ่งพาการส่งออกมากนัก จึงอาจได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจน้อยกว่าสหรัฐ ทั้งนี้ สงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนนั้นในที่สุดแล้วคาดไม่มีใครเสียเปรียบและได้เปรียบ

อย่างไรก็ดี ประเด็นสงครามการค้าที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ทองคำยังไม่ได้รับอานิสงส์ทางบวกอย่างเห็นได้ชัด โดยนักลงทุนสหรัฐกลับมีการขายกองทุนสินค้าโภคภัณฑ์ รวมทั้งทองคำออกมาราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งถือเป็นการขายมากที่สุดตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2560 ขณะที่คาดว่านักลงทุนเลือกที่ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินดอลลาร์สหรัฐและพันธบัตรสหรัฐมากกว่า เนื่องจากอาจมองว่าทองคำไม่มีดอกเบี้ย ไม่ได้รับเงินปันผล ในขณะที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐที่เพิ่มสูงขึ้น

ทางฮั่วเซ่งเฮงคาดการณ์ว่าราคาทองคำ spot ในช่วง 1 เดือนข้างหน้าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,200-1,265 ดอลลาร์