ดอลลาร์แข็งค่า หลังเฟดมองเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่ง

ฝ่ายค้าเงินตราต่างประเทศ ธนาคารกรุงเทพ รายงานว่า ภาวะการเคลื่อนไหวตลาดปริวรรตเงินตราประจำวันพฤหัสบดีที่ 2 สิงหาคม 2561 ค่าเงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 33.16/18 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวอ่อนค่าเล็กน้อยจากระดับปิดตลาดในวันพุธ (1/8) ที่ระดับ 33.12/14 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ โดยคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 1.75%-2.00% ในการประชุมเมื่อวานนี้ (1/8) และได้แถลงการณ์ถึงภาวะเศรษฐกิจ การใช้จ่ายภาคครัวเรือนและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรว่ามีการขยายตัว อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ใกล้ระดับเป้าหมายของเฟดที่ 2% นับตั้งแต่การประชุมในเดือนมิถุนายน เป็นการส่งสัญญาณว่าเฟดมีโอกาสจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน โดยตลาดคาดการณ์ว่ามีโอกาสที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน และเดือนธันวาคม นอกจากนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลแรงงานที่แกร่งของสหรัฐ จากตัวเลขการจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐ โดย ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) ที่ปรัวบตัวเพิ่มขึ้น 219,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 185,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงระหว่าง 33.14-33.30 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 33.30/32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับค่าเงินยูโรวันนี้ (2/8) เปิดตลาดที่ระดับ 1.1660/63 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ปรับตัวอ่อนค่าขึ้นจากราคาปิดตลาดในวันพุธ (1/8) ที่ระดับ 1.1684/88 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร โดยค่าเงินยูโรได้ปรับตัวอ่อนค่าจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่า ผนวกกับตัวเลขดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของเยอรมนีสำหรับเดือนกรกฎาคมลดลงจากเดือนมิถุนายนมาอยู่ที่ระดับ 56.9 ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ที่ระดับ 57.3 ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินยูโรเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงระหว่าง 1.1611-1.1653 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 1.1611/13 ดอลลาร์สหรัฐ/ยูโร

ในส่วนของค่าเงินเยนวันนี้ (2/8) เปิดตลาดที่ระดับ 111.68/71 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ปรับตัวแข็งค่าขึ้นจากราคาปิดตลาดในวันพุธ (1/8) ที่ระดับ 111.94/95 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ หลังจากนักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับสถานการณ์ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน หลังจากที่นายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนทางการค้าของสหรัฐ (USTR) เปิดเผยว่า สหรัฐกำลังพิจารณาเพิ่มมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจีนสู่ระดับ 25% ซึ่งสูงกว่าผนการที่สหรัฐเคยประกาศไว้เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม ที่ผ่านมาว่าจะเรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนในอัตรา 10% ซึ่งครอบคลุมสินค้าจำนวน 6,031 รายการ ในกลุ่มสินค้าเพื่อผู้บริโภค รวมถึงสินค้าด้านการเกษตร หลังจากสหรัฐและจีนไม่สามารถบรรลุข้อตกลงในการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาททางการค้า โดยมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มเติมในครั้งนี้จะมีผลบังคับใช้ในเดือนกันยายน วงเงิน 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามคำสั่งของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ ทั้งนี้ในระหว่างวันค่าเงินเยนเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงระหว่าง 111.50-110.73 เยน/ดอลลาร์สหรัฐ ก่อนปิดตลาดที่ระดับ 111.50/52 เยน/
ดอลลาร์สหรัฐ

ข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่สำคัญที่ต้องจับตาดูในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ (2/8) อัตราค่าจ้างแรงงาน (3/8) การจ้างงานนอกภาคการเกษตร (3/8) อัตราการว่างงาน (3/8) ดัชนีการสำรวจผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อนอกภาคอุตสาหกรรมโดย ISM (3/8) และผลการประชุมนโยบายการเงินของสหราชอาณาจักร (2/8)

สำหรับอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนในประเทศอยู่ที่ -2.10/1.90 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ และอัตราป้องกันความเสี่ยง (Swap point) ภาคเช้า 1 เดือนต่างประเทศอยู่ที่ -3.25/-2.75 สตางค์/ดอลลาร์สหรัฐ