คอลัมน์ เติมความคิดพิชิตการลงทุน
โดย พรเทพ ชูพันธุ์ บริษัทหลักทรัพย์ ไทยพาณิชย์ จำกัด
- สถิติหวย ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวด 16 เมษายน ย้อนหลัง 10 ปี
- ตรวจหวย ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ตรวจผลรางวัล งวด 16 เมษายน 2567
- หวยงวด 16 เมษายน ถ่ายทอดสด ตรวจผลรางวัล ผลสลากกินแบ่งฯ วันนี้ (16 เม.ย. 67)
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นับเป็นจุดนัดพบของบรรดาการประชุมธนาคารกลางทั่วโลก ตั้งแต่…
ธนาคารกลางญี่ปุ่น หรือ BoJ (31 ก.ค.) ที่แม้จะคงนโยบายดอกเบี้ยต่ำ -0.1% เอาไว้ แต่ก็ปรับกรอบเป้าหมายอัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปี จากกรอบเดิมที่ -0.1% ถึง +0.1% (หรือก็คือเป้า 0% +/-10bps) ให้กว้างขึ้นเป็น -0.2% ถึง +0.2% (เป้าเดิม 0% แต่ +/-20bps) ซึ่งทำให้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตร 10 ปีที่แกว่งอยู่ใกล้ขอบบน +0.10% มาตลอด ก็เลยมีโอกาสแสดงพลัง ปรับขึ้นมายืนเหนือ 0.12% ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา บ่งบอกถึงแรงกดดันขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
ธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Federal Reserve (1 ส.ค.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75-2.00% แต่สิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่ถ้อยแถลงของ Fed ที่ยังคงแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ในเดือน ก.ย. และ ธ.ค.ของปีนี้ ซึ่งหมายถึงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับขึ้นไปที่ 2.25-2.50% ภายในสิ้นปี ด้วยเหตุผลที่ตัวเลขทางเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ทั้งการบริโภคภายในประเทศ ไปจนถึงตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อขาขึ้น
ธนาคารกลางอินเดีย (1 ส.ค.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่สอง ต่อเนื่องจากการปรับขึ้นครั้งแรกไปเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้ล่าสุดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของอินเดีย ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 6.50% และยังส่งสัญญาณปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกในอนาคต โดยเหตุผลหลักก็มาจากอัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมาอยู่ที่ 4.6% ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี และการอ่อนค่าของเงินรูปีเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ (ที่แข็งค่าขึ้นในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา)
มาถึงธนาคารกลางอังกฤษ (2 ส.ค.) ซึ่ง ณ ขณะที่เขียนบทความนี้ ผลการประชุมธนาคารกลางยังไม่เสร็จสิ้น แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็มองว่า ธนาคารกลางอังกฤษน่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.50% เป็น 0.75% สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตดี ตลาดแรงงานที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากอัตราการว่างงานที่ 4.5% ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 1975
ถ้ารวมไปถึงสัปดาห์ก่อนหน้า (26 ก.ค.) ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB ก็ส่งสัญญาณการปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวมากขึ้นเช่นกัน โดยแม้จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0% แต่ก็ส่งสัญญาณชะลอการอัดฉีดสภาพคล่อง (QE taper-ing) จากเดือนละ 3 หมื่นล้านยูโร เหลือเดือนละ 1.5 หมื่นล้านยูโร ในเดือน ก.ย. และหยุดการอัดฉีดสภาพคล่องภายในสิ้นปี
สิ่งที่เล่ามาทั้งหมด มันบ่งบอกถึงสัญญาณที่ชัดเจนอย่างหนึ่งว่าเศรษฐกิจโลกยังคงมี “แนวโน้ม” การขยายตัวที่แข็งแกร่ง แม้หลายฝ่ายจะกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากสงครามการค้า แต่เพราะปกติการปรับขึ้นหรือลดดอกเบี้ยของธนาคารกลาง ต้องใช้เวลาราว ๆ 3-4 ไตรมาสข้างหน้ากว่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจจริง นั่นก็หมายความว่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์ ระดับปรมาจารย์ ที่ทำงานอยู่ในธนาคารกลางของประเทศเศรษฐกิจหลัก ๆ ซึ่งก็น่าจะรับรู้ข่าวเกี่ยวกับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐ และการตอบโต้ของทั้งยุโรปและจีน ตลอดจนคำขู่ของสหรัฐที่จะเพิ่มภาษีขึ้นอีกในอนาคต ซึ่งท่านทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนแล้วแต่มีมุมมองต่อเศรษฐกิจไปในทิศทางที่ค่อนข้างจะเป็นบวก เหมือน ๆ กัน โดยแม้จะบอกว่าสงครามการค้าเป็นความเสี่ยง แต่การขึ้นดอกเบี้ยก็เป็นเครื่องยืนยันมุมมองระยะยาวของท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้เป็นอย่างดีว่า เศรษฐกิจยังมีแนวโน้มที่ดี
นอกจากนี้ แนวนโยบายที่ไปทางเดียวกัน ยังบอกถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในรอบนี้ว่า มีลักษณะฟื้นตัวแบบหมู่คณะ ไม่ใช่ต่างคนต่างฟื้นเหมือนเมื่อปลายปี 2015 ที่เกิดการแยกทางของนโยบาย (policy divergence) ซึ่งครั้งนั้น ธนาคารกลางสหรัฐปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวขึ้นอยู่คนเดียว ในขณะที่ประเทศอื่น ๆ ยังไม่พร้อม ทำให้เกิดเป็นปัญหาย่อย เงินทุนเคลื่อนย้ายรุนแรงกระทบตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง โดยเฉพาะในแถบเอเชียและบ้านเรา
ดังนั้น บล.ไทยพาณิชย์จึงเห็นว่า ตลาดหุ้นบ้านเราได้รับข่าวและความกังวลสงครามการค้ามาพอสมควรแล้ว สามารถยืนอยู่ได้ที่ระดับ forward price to earnings ratio ที่แนวรับที่แข็งแกร่งในอดีตตามรูป (ครั้งน้ำท่วมใหญ่ 2011, ความไม่สงบทางการเมือง 2013, ราคาน้ำมันร่วงหนัก 2015) และในที่สุดก็ฟื้นตัวกลับมาได้ โดย theme การลงทุนที่ชัดเจนที่สุดในช่วงนี้ คือ เรื่องอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น (ยืมมุมมองธนาคารกลางทั่วโลกมาใช้) และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ที่ส่งผลให้เงินบาทอ่อนค่า ทำให้หุ้น top-pick ของเราในเดือนสิงหาคม ยังคงเป็นกลุ่มธนาคาร (BBL KTB) ที่รับประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น และกลุ่มอาหาร (CPF TU) ที่ได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า นอกจากนี้ เรายังชอบหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งจะมีผลประกอบการที่ฟื้นตัวดีในไตรมาส 2 และ 3 ของปีนี้อีกสองตัว ได้แก่ SAT และ WORK