กสิกรยันไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ ขอจับตาสัญญาณ การประชุมกนง.-ชี้เอ็นพีแอลยังไหลไม่หยุด

แบงก์กสิกรชี้ยังไม่ปรับดอกเบี้ยกู้ จับตาดูทิศทาง กนง. มั่นใจสภาพคล่องธนาคารเพียงพอ ยอมรับเอ็นพีแอลยังไหลอยู่ พร้อมเกาะติดใกล้ชิดปัญหาภัยไซเบอร์ เตรียมดึงนอนแบงก์เป็นสมาชิก TB CERT แลกเปลี่ยนข้อมูลสกัดภัยแฮกเกอร์ ล่าสุดจับมือฮ่องกง-สิงคโปร์ รับมืออีกระดับ

นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารจะยังคงไม่ปรับขึ้น เนื่องจากจะต้องติดตามทิศทางของการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายหรือไม่ ซึ่งจากการคาดการณ์คิดว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้อยู่ที่ 1.5% เช่นเดิม

นอกจากนี้ ธนาคารยังต้องดูในส่วนของสภาพคล่องด้วย ซึ่งปัจจุบันสภาพคล่องของธนาคารถือว่าอยู่ในระดับเพียงพอ จึงยังไม่ถึงภาวะที่จะต้องปรับดอกเบี้ย

“ดอกเบี้ยจะยังไม่ปรับขึ้นจนกว่า กนง. จะขึ้นดอกเบี้ย แต่อย่างไรก็ตามต้องดูสภาพโดยรวมด้วย ทั้งสภาพคล่องและการใช้จ่ายว่าเป็นอย่างไร เพราะถึงแม้ กนง. จะไม่ขึ้นดอกเบี้ย แต่หากธนาคารใดที่ไม่มีสภาพคล่องพอ ก็มีโอกาสที่จะขยับขึ้นได้” นายปรีดีกล่าว

นอกจากนี้ ธนาคารยังคงจับตาดูสถานการณ์การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในครึ่งปีหลัง เนื่องจากหากเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะส่งผลให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายในไทย ไหลออกนอกประเทศมากขึ้น ทำให้ ธนาคารอาจจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยตามเพื่อรักษาระดับไม่ให้ได้รับผลกระทบ

ในส่วนของการอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการตั้งสำรอง (Credit Cost) ของธนาคารในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 185 bps .หรือ1.85% ในขณะที่ปีหน้าอัตราส่วนจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งถ้าเศรษฐกิจดี จะทำให้หนี้เสีย (NPL) น้อย ส่งผลให้การตั้งสำรองของธนาคารน้อยลงตามไปด้วย

“โดยมองว่า NPL ไม่มีทางหยุด ดูจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เช่น น้ำท่วม จึงต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเพราะไม่รู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในอนาคต โดยที่ผ่านมาธนาคารได้ควบคุมการตั้งสำรองให้อยู่ในกรอบที่ตั้งไว้ให้ได้” นายปรีดีกล่าว

สำหรับกรณีแอพพลิเคชั่นใช้ทำธุรกรรมทางการเงินของหลายธนาคารเกิดปัญหาในช่วงที่ผ่านมา นายปรีดี กล่าวว่า เนื่องจากหลังจากที่ระบบพร้อมเพย์ยกเลิกการคิดค่าธรรมเนียมทำให้ลูกค้าเปลี่ยนมาใช้การทำธุรกรรมผ่านมือถือมากขึ้น ซึ่งในแต่ละวันมียอดรายการทำธุรกรรมถึง 250 รายการ/วินาที จากเดิมที่อยู่ที่ 150 รายการ/วินาที ทำให้ระบบเกิดความขัดข้องในบางช่วง ดังนั้นทางสมาคมฯและธนาคารแห่งประเทศได้วางแนวทางปฏิบัติให้กำหนดระยะเวลาในการคืนเงินลูกค้า ในกรณีที่ลูกค้าถูกตัดยอดการโอนเงินไปแล้ว แต่ทางบัญชีผู้รับยังไม่ได้รับเงินดังกล่าว ทางธนาคารจะต้องจ่ายคืนเงินให้ลูกค้าภายใน 1 วันสำหรับกรณีที่มีการโอนภายในธนาคารเดียวกัน แต่สำหรับเป็นการโอนต่างธนาคาร จะต้องคืนเงินภายในวันถัดไป

“หากลูกค้าเปิดปัญหาในการโอน บางธนาคาร เช่น กสิกร ก็จะมีหน่วยงานที่จะให้การดูแลในด้านนี้โดยเฉพาะด้วย”นายปรีดีกล่าว

ส่วนการป้องกันด้านภัยไซเบอร์สมาคม นายปรีดี กล่าวว่า จะมีศูนย์ประสานงานความมั่งคงปลอดภัยสารสนเทศภาคการธนาคาร หรือ TB CERT (Thailand Banking Sector Computer Emergency Response Team) เข้ามาเป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานกับแบงก์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อรับมือกับภัยไซเบอร์ และแชร์ปัญหาซึ่งปัจจุบันมีสถาบันการเงินเป็นสมาชิก และกำลังจะเปิดรับสมาชิกใหม่ คือสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร (Non-Bank) เข้ามาเพิ่ม เพื่อเป็นพันธมิตรแลกเปลี่ยนข้อมูลในการป้องกันภัยไซเบอร์ทางการเงิน

“โดยสมาคมฯ ต้องการจะขยายไปยังหลากหลายภาคธุรกิจ ไม่เพียงแต่ภาคการเงินเท่านั้น ทั้งยังได้ร่วมมือกับสถาบันในต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ ในการแลกเปลี่ยนข้อมูลและกระบวนการในการรับมือกับภัยไซเบอร์อีกด้วย”นายปรีดีกล่าว