ลุ้น SCI ไตรมาส 2 กำไรฟื้น ยันปีนี้โต 10% – รุกแผนลงทุนเวียดนาม

หุ้น SCI ส่งซิกไตรมาส 2/61 พลิกมีกำไร อานิสงส์เงินบาทพลิกอ่อนค่า ลั่นครึ่งปีหลังผลงานดีกว่าครึ่งปีแรก จ่อรับรู้รายได้จากงานหลักในประเทศ “เสาโทรคมนาคม-ตู้สวิตช์บอร์ด” และรายได้จากเมียนมาเริ่มออกดอกผล ดันทั้งปีรายได้โต 10-15% มั่นใจกำไรแน่นอน เผยสัปดาห์นี้เจรจาลงทุนพลังงานลม-โซลาร์ฟาร์มในเวียดนาม

นายเกรียงไกร เพียรวิทยาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เอสซีไอ อีเลคตริค หรือ SCI เปิดเผยว่า แนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 2/2561 ของบริษัท ดีขึ้นกว่าไตรมาสแรกปีนี้ ที่ขาดทุนอยู่ประมาณ 23 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยนที่กลับมาอ่อนค่าตั้งแต่ มี.ค.ที่ผ่านมา ที่อยู่ 33.20 บาท ซึ่งยังอ่อนค่าถึงปัจจุบัน และหากในระยะข้างหน้าค่าเงินบาทอ่อนถึง 34 บาท/ดอลลาร์ จะยิ่งส่งผลบวกต่อผลดำเนินงานมากขึ้น

ทั้งนี้ บริษัทขาดทุนในไตรมาสแรกที่ผ่านมา เนื่องจากขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่ 32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ และต้นทุนจากการเข้าลงทุนในโครงการโซลาร์รูฟท็อป เมื่อต้นปี ซึ่งจะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ทั้งหมด 7 เมกะวัตต์

สำหรับครึ่งปีหลัง ผลดำเนินงานของบริษัทมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยในไตรมาส 3 นี้ จะมีการรับรู้รายได้ราว 100-200 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการทยอยส่งมอบเสาโทรคมนาคมที่มีออร์เดอร์ในช่วงครึ่งปีแรก ประมาณ 800 ต้น และในช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะได้รับงานเพิ่มอีกประมาณ 800 ต้น นอกจากนี้ยังมีการส่งมอบออร์เดอร์ตู้สวิตช์บอร์ด และรายได้จากโรงงาน SCI Metal Tech (Myanmar) Co., Ltd. (SCIMTmm) ที่อยู่นิคมติลาวา เมียนมา ซึ่งมีกำลังผลิตเสาส่งไฟฟ้าแรงสูงและเสาโทรคมนาคม ประมาณ 7,500 ตันต่อปี และชุบกัลวาไนซ์ (สังกะสี) กำลังการผลิต 2,400 ตันต่อปี ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว
ส่วนโครงการโซลาร์รูฟท็อป ของบริษัท ที ยูทิลิตี้ส์ (TU) ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ราว 45% โดยได้เซ็นสัญญาจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ทั้งหมด 7 เมกะวัตต์ ทำให้บริษัทนี้มีรายได้ดีขึ้น จึงคาดว่า SCI จะได้รับเงินปันผลเข้ามาในปีนี้ได้

“แนวโน้มครึ่งปีหลังจะดีขึ้นกว่าครึ่งปีแรก เพราะบริษัทจะมีรายได้เข้ามาจากโรงงานที่เปิดใหม่ในเมียนมา โดยมีออร์เดอร์เข้ามาแล้ว เรามั่นใจว่า รายได้ปีนี้จะโตได้ 10-15% จากปีก่อน (รายได้รวมอยู่ที่ 1,678 ล้านบาท) โดยสัดส่วนรายได้หลักยังมาจากในประเทศ 90% และที่เหลือ 10% มาจากต่างประเทศ ทำให้ทั้งปีเรากำไรแน่ ๆ ขณะที่ gross profit margin (อัตรากำไรขั้นต้น) จากธุรกิจในประเทศอยู่ที่ 10% แต่ในเมียนมา
สูงถึง 15%” นายเกรียงไกรกล่าว

สำหรับงานใหม่ที่รอเข้าร่วมประมูลในปีนี้ มีทั้งงานประมูลในประเทศ ได้แก่ โครงการสายส่งไฟฟ้าแรงสูง ขนาด 500 KV ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 2 โครงการ และประมูลโครงการก่อสร้างโรงกรองน้ำในภาคใต้ ที่มีมูลค่า 600 ล้านบาท ซึ่งยังอยู่ระหว่างรอรัฐบาลประกาศชัดเจน ด้านงานประมูลในต่างประเทศจะมีโครงการคันบกในเมียนมา ซึ่งวางเสาไฟฟ้าแรงสูงระยะทาง 450 กิโลเมตร ส่วนโครงการสายส่งไฟฟ้าแรงสูงใน สปป.ลาว ยังไม่สามารถดำเนินการได้เมื่อปีที่แล้ว เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใน สปป.ลาว ทำให้ยังไม่ได้ข้อสรุปการตกลงรับซื้อไฟฟ้า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาระหว่างทางการลาวและไทยเกี่ยวกับการรับซื้อไฟ

“ในปี 2562 หากว่า สปป.ลาวตกลงรับซื้อไฟฟ้า ก็จะทำให้โครงการนี้สามารถผลิตไฟฟ้าและมีรายได้เข้ามา ซึ่งจะทำให้รายได้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ อยู่ที่ 2,200-2,300 ล้านบาท แต่หากรายได้จากส่วนนี้ยังไม่เข้ามา บริษัทจะมีรายได้จากการดำเนินงานปกติที่ 1,700-1,800 ล้านบาท โดยสัดส่วนรายได้จากในประเทศจะอยู่ที่ 80% และต่างประเทศ 20% อย่างไรก็ตาม บริษัทมีเป้าหมายต้องการขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น เพื่อขยายฐานรายได้และกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ ซึ่งสัปดาห์นี้ เราจะเข้าไปเจรจา กับบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นเวียดนาม เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจพลังงานลมและโซลาร์ฟาร์ม นอกจากนี้ กำลังเริ่มศึกษาโอกาสการลงทุนงานเสาโทรคมนาคมและเสาไฟฟ้าแรงสูงในกัมพูชา” นายเกรียงไกรกล่าว

สำหรับกรณีราคาหุ้น SCI ที่ร่วงลงต่ำนั้น ล่าสุด (9 ส.ค.) อยู่ที่หุ้นละ 3.46 บาท จะมีโครงการรับซื้อหุ้นคืนหรือไม่นั้น นายเกรียงไกรกล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแผนแต่อย่างใด เพราะเงินที่เหลือจากการระดมทุนอีก 500-600 ล้านบาท จะไว้ใช้ในการลงทุนโครงการต่าง ๆ ที่มีแผนจะเข้าประมูลในครึ่งปีหลังนี้ เพื่อจะได้สร้างรายได้กลับมายังบริษัท