ศูนย์วิจัยกสิกรคาด “กนง” คงดอกเบี้ย 1.50% ในการประชุม 16 ส.ค.นี้

ศูนย์วิจัยกสิกรส่องการประชุม กนง.วันที่ 16 ส.ค.นี้ คาด กนง.คงดอกเบี้ยที่ 1.50% ในรอบที่ 5 ของการประชุมในปีนี้ หลังเพื่อหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ต่อเนื่อง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติ “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.50% ต่อเนื่องในการประชุม กนง. รอบที่ห้าของปี 2560 ในวันที่ 16 ส.ค. 2560 นี้ และน่าจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจไทย ท่ามกลางการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟดที่อาจจะเริ่มปรับลดขนาดงบดุลในช่วงปลายปี โดย กนง.คงจะติดตามพัฒนาการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจน ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศอีกระยะ ขณะที่ภาคเศรษฐกิจต่างประเทศที่อยู่ในระดับแข็งแกร่ง คงเป็นปัจจัยที่หนุนให้ กนง. สามารถที่จะดำเนินนโยบายการเงินที่เป็นอิสระจากการปรับเปลี่ยนท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดให้เป็นปกติมากขึ้น (Policy normalization)

โดยปัจจัยที่ คาดว่ากนง.จะคงดอกเบี้ย คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงรักษาโมเมนตัมไว้ได้ แม้ยังมีบางภาคส่วนที่ยังคงเปราะบาง โดยโมเมนตัมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี มีสัญญาณที่ดีขึ้น จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่การเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐน่าจะเป็นปัจจัยหนุนแรงส่งต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจมากขึ้น จากการเร่งเบิกจ่ายงบกลางปีเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ในขณะที่การลงทุนของเอกชนและการใช้จ่ายครัวเรือนยังคงเปราะบาง นอกจากนี้ แรงกดดันเงินเฟ้อที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ ปัญหาหนี้ของภาคครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ประกอบกับพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นแบบไม่คำนึงถึงความเสี่ยง (Search for yield) อันเป็นความเสี่ยงต่อความเปราะบางของเสถียรภาพทางเศรษฐกิจยังคงเป็นปัจจัยที่ กนง. คงท่าทีในการดำเนินนโยบายการเงินอย่างระมัดระวังความเสี่ยงต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ในระยะข้างหน้ายังคงมีอยู่ ทั้งนี้ ความเสี่ยงต่อภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่เป็นปัจจัยในประเทศที่ต้องจับตา คงได้แก่ ผลกระทบของ พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ที่อาจจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในช่วงปรับตัว ผลบวกจากภาคการส่งออกที่คงปรับลดลง รวมถึง ราคาสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มชะลอลงเป็นแรงกดดันรายได้ภาคเกษตรกรในระยะข้างหน้า อันอาจจะเป็นปัจจัยเสี่ยงกดดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และเกาหลีเหนืออาจจะลุกลามและมีความเสี่ยงที่จะมีการใช้กำลังทางทหาร ดังนั้น การคงนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อเนื่องน่าจะเหมาะสมในการช่วยลดทอนผลกระทบที่เกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ หากมองไปในระยะข้างหน้า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะทรงตัวในระดับปัจจุบันอีกระยะ ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ผลจากการปรับลดขนาดงบดุลของเฟดต่อเศรษฐกิจไทย น่าจะมีผลกระทบที่จำกัด ขณะที่ความผันผวนด้านเงินทุนเคลื่อนย้ายคงอยู่ในระดับที่ทางการดูแลได้ เนื่องจากเสถียรภาพต่างประเทศของไทยอยู่ในระดับแข็งแกร่ง มีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงเกือบ 10% ของจีดีพี และมีระดับเงินทุนสำรองกว่า 1.8 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่สภาพคล่องในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง โดยสภาพคล่องส่วนเกินของระบบธนาคารพาณิชย์มีสูงเกือบ 2 ล้านล้านบาท อันเพียงพอต่อการรองรับความต้องการระดมทุนในประเทศ ในขณะเดียวกัน การปรับลดขนาดงบดุลของเฟด อาจจะช่วยลดแรงกดดันต่อค่าเงินบาทได้บางส่วน